“สส.กฤช” จี้ “อนุทิน” เปลี่ยนตัว 2 รมต.พ้น ครม. อ้างมีประวัติพัวพันขบวนการลักลอบขนขยะอิเล็กทรอนิกส์-บ่อดินเถื่อน กังวลใช้อำนาจเอื้อธุรกิจสีเทา

474

รัฐสภา, วันที่ 30 กันยายน – กฤช ศิลปชัย สส.ระยอง เขต 2 พรรคประชาชน อภิปรายในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ถึงปัญหาในภาคอุตสาหกรรม โดยระบุว่าในภาคตะวันออกมีนักลงทุนต่างชาติที่ไม่ปฏิบัติตามกฏหมายไทย โดยเฉพาะการทำธุรกิจด้วยโมเดลศูนย์เหรียญที่ประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย นายหน้าเป็นชาวต่างชาติ ก่อสร้างโดยต่างชาติ วัสดุในการก่อสร้างนำเข้าจากต่างประเทศ เมื่อเปิดโรงงานก็ใช้คนต่างชาติทั้งจากประเทศเพื่อนบ้านและแรงงานจากจากประเทศเจ้าของโรงงาน ซ้ำยังมีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง สนับสนุนชี้ช่องให้กลุ่มทุนสีเทาเหล่านี้ดำเนินธุรกิจอย่างผิดกฎหมาย

กรณีหนึ่งที่เป็นปัญหาใหญ่คือขบวนการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวโยงกับการลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ผิดกฎหมายจากต่างประเทศผ่านท่าเรือแหลมฉบัง มาที่โรงงานรีไซเคิลในภาคตะวันออกที่มีปัญหากับชาวบ้านในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพราะปล่อยสารเคมีอันตรายออกมาสู่สิ่งแวดล้อม เรื่องผิดกฎหมายที่อุกอาจใหญ่โตขนาดนี้จะทำได้อย่างไร ถ้าไม่มีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง และหนึ่งในบรรดาผู้มีอิทธิพลขณะนี้ได้ดิบได้ดีเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล คือ “สุชาติ ชมกลิ่น” ทั้งที่ไม่ปรากฏว่ามีความรู้ความสามารถหรือประสบการณ์เกี่ยวข้องกับงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่กลับได้เป็นรองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรฯ 

กฤช ยกหลักฐานหนึ่งที่เชื่อมโยงว่าสุชาติอาจมีความเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนขยะอิเล็กทรอนิกส์ คือภาพรถบรรทุกที่วิ่งขนส่งระหว่างท่าเรือแหลมฉบัง กับโรงงานรีไซเคิลผิดกฎหมาย ด้านหน้ารถบรรทุกดังกล่าวติดสติกเกอร์ “มังกรน้ำเค็ม” พร้อมสโลแกน “พวกกันสำคัญเสมอ” ซึ่งคนภาคตะวันออกโดยเฉพาะคนชลบุรีและระยอง รู้ดีว่าเป็นชื่อของกลุ่มของสุชาติ นอกจากนี้ เจ้าของบริษัทเจ้าของรถบรรทุกขนขยะดังกล่าว ยังเคยมีชื่อเป็นผู้ชำนาญการประจำตัวของสุชาติอีกด้วย

ดังนั้นต่อให้นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลจะดีแค่ไหน แต่ถ้าเรามีคนที่ได้ชื่อว่ามีประวัติเกี่ยวข้องกับการทำลายสิ่งแวดล้อมมาเป็นรัฐมนตรี พี่น้องประชาชนจะเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งแวดล้อมของไทยจะไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้ จะเชื่อได้อย่างไรว่าสุชาติจะไม่ใช้อิทธิพลและอำนาจในฐานะเจ้ากระทรวงเพื่อช่วยเหลือกลุ่มทุนที่กระทำผิดกฎหมาย ให้มาทำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยอีก

กฤชกล่าวว่า รัฐมนตรีอีกคนที่ตนเห็นว่าเป็นปัญหา คือจ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายของสุชาติเช่นกัน มีประวัติเกี่ยวข้องกับการลักลอบทำบ่อดินเถื่อน ที่อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี มีรถบรรทุกวิ่งขนดินกว่า 300 คันต่อวัน บรรทุกน้ำหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนด ทำให้เกิดฝุ่นเต็มสองข้างทาง บ้านเรือนของประชาชนโดยรอบต้องขึงสแลนกันฝุ่น ร้านค้าต้องปิดกิจการ การจราจรติดขัด เกิดอุบัติเหตุนับครั้งไม่ถ้วน 

แม้พรรคประชาชนร่วมกับภาคประชาชนต่อสู้จนทำให้อุตสาหกรรมจังหวัดมีคำสั่งให้บ่อดินนี้หยุดประกอบการ และดำเนินคดีไปแล้ว แต่ยังพบมีการฝ่าฝืนคำสั่งกลับมาสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านอีก ซึ่งเมื่อไปตรวจสอบก็พบว่ารถขนดินดังกล่าวติดสติ๊กเกอร์ “เพื่อนยศสิงห์” อยู่ที่หน้ากระจก

เมื่อดูจากประวัติของรัฐมนตรีทั้งสอง จึงไม่สมควรได้รับความไว้วางใจให้มาดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและกระทรวงอุตสาหกรรม แต่ทำไมอนุทินยังตั้ง 2 คนนี้มาเป็นรัฐมนตรี ยอมให้เครือข่ายของสุชาติมานั่งคุมกระทรวงที่ตัวเองมีประวัติเสียหาย แถมยังให้แบบยกเซ็ต คนหนึ่งคุมเรื่องโรงงานอุตสาหกรรม อีกคนคุมเรื่องสิ่งแวดล้อม

ที่น่าสนใจคือในวันที่เพิ่งจะมีโผคณะรัฐมนตรีออกมา มีการยื่นขอใบอนุญาตตั้ง และขยายโรงงานรีไซเคิลที่จังหวัดปราจีนบุรีถึง 6 โรงงานในวันเดียวกัน บริษัทที่ยื่นขอเคยเป็นโรงงานเถื่อนที่ถูกสั่งปิดไปเมื่อปีที่แล้วเพราะปล่อยมลพิษออกสู่สิ่งแวดล้อม และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐมนตรียศสิงห์เพิ่งมอบนโยบาย “เปิดเร็ว ปิดเร็ว พึ่งพาได้” บอกว่าจะทำให้การขออนุญาตโรงงานง่ายขึ้น ไวขึ้น โรงงานไหนถูกสั่งปิด หากแก้ไขเสร็จจะรีบอนุญาตให้กลับมาเปิดใหม่โดยเร็ว เรื่องที่ดูลงตัวกันเช่นนี้ ยิ่งทำให้ตนกังวลว่าจะเป็นนโยบาย “จ่ายครบ จบแน่” หรือไม่ ตนจะรอดูว่ารัฐบาลของนายกฯ อนุทินที่มียศสิงห์ดูแลกรมโรงงาน จะออกใบ รง.4 ให้กับโรงงานรีไซเคิลที่มีประวัติเคยปล่อยมลพิษหรือไม่

กฤชกล่าวว่า อุตสาหกรรมเป็นหัวใจของพี่น้องภาคตะวันออก โรงงานหมายถึงการจ้างงานและรายได้ในกระเป๋าของประชาชน แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาภาคตะวันออกเจอปัญหาโรงงานที่เข้ามาตั้งใหม่จำนวนมาก ไม่ได้สร้างงานไม่ได้สร้างเงินให้กับคนไทย แต่เป็นการตั้งโรงงานทุนเทาศูนย์เหรียญที่คนไทยไม่ได้ประโยชน์ หนำซ้ำยังเข้ามาทำลายสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ ทำลายสุขภาพของคนไทย รัฐบาลนี้สัญญาว่าจะเข้ามาแก้ปัญหา แต่กลับตั้งคนที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับการทำลายสิ่งแวดล้อมมาดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมมลพิษ เกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม แล้วหลังจากนี้อีก 4 เดือนภาคตะวันออกจะเละเทะขนาดไหน

ตนเชื่อว่าถ้ารัฐมนตรี 2 คนนี้ยังอยู่ในตำแหน่ง นโยบายสิ่งแวดล้อมที่นายกฯ อนุทินแถลงในวันนี้ นอกจากจะไม่สำเร็จ ยังเป็นการซ้ำเติมปัญหา จะกลายเป็นยุคที่กลุ่มทุนสีเทาเติบโต สิ่งที่เคยดีจะกลายเป็นแย่ สิ่งที่แย่อยู่แล้วจะยิ่งแย่กว่าเดิม จึงเรียกร้องนายกฯ ขอให้เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีคู่นี้ออกจากคณะรัฐมนตรี เพราะจากประวัติที่ผ่านมา ไม่สามารถไว้วางใจให้ดูแลสิ่งแวดล้อมและโรงงานของประเทศได้