ทุกบทตำรวจคือหนังหน้าไฟ คุมม็อบทั้งในชาติ-ข้ามชาติ แต่ถ้าพลาดแค่กระพี้โดนรุมยำ

1137

หากมองบทบาทของตำรวจจะพบว่าจะเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันของทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะเป็นองค์กรที่บังคับใช้กฎหมายให้สังคมสงบสุข โดยเฉพาะการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบ

เมื่อมองลึกลงไปในหน้างานแล้ว ตำรวจยังต้องปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยอีกหลายด้าน อาทิ การรักษาความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญระดับประเทศ การป้องกันแนวชายแดนในบทบาทของตำรวจตระเวนแดน (ตชด.) ต้องสวมบทผู้พิทักษ์ชายแดนไปพร้อมกับมือจับชอล์กสอนหนังสือเด็กๆ รวมถึงการควบคุมฝูงชนหรือม็อบทั้งหลายที่รวมตัวประท้วงทั้งในที่สาธารณะและสถานที่ของเอกชน


แต่หลังการเจรจาหยุดยิงระหว่างไทยกับเขมรบรรลุเป้า ปรากฏว่าตำรวจกลับต้องมารับบทหนังหน้าไฟ เพื่อรักษาความสงบตามแนวชายแดน เพราะชาวเขมรรวมตัวกันประท้วงและยั่วยุทางการไทย โดยเฉพาะตามแนวชายแดนด้าน จ.สระแก้วซึ่งเป็นบทบาทที่ประชาชนส่วนใหญ่คาดไม่ถึง เพราะแก้ปัญหาตามแนวชายแดนที่มีการสู้รบหรืออยู่ในช่วงเจรจา ทหารควรจะเข้ามาบทเต็มร้อย แต่กลับดึงตำรวจเข้าทำหน้าที่ควบคุมม็อบเขมร

แต่เมื่อได้รับมอบภาระหน้าที่แล้ว ตำรวจเดินหน้าทำงานอย่างเต็ม มีบาดเจ็บบ้างก็พร้อมรับสภาพ แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ ประกอบกับความเคลื่อนไหวของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แล้วเชื่อว่าตำรวจยังคงทำหน้าที่เผชิญกับม็อบข้ามชาติอีกนาน เพราะเมื่อวันที่ 22 กันยายน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ สั่งการให้ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-เขมร​ ซึ่ง พล.ต.อ.ไกรบุญ ลงไปตรวจความพร้อมยุทโธปกรณ์ของชุดควบคุมฝูงชน และชมสาธิตการปฏิบัติการควบคุมฝูงชนที่ปฏิบัติหน้าที่ จ.สระแก้ว เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจว่าตำรวจสามารถสนับสนุนการรักษาความสงบเรียบร้อย นอกเหนือจากการสู้รบของทหาร

การสาธิตครั้งนี้ประกอบด้วยกำลังตำรวจจากหน่วยอรินทราช 26 จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล หน่วยนเรศวร 261 ของ บช.ตชด. หน่วยคอมมานโด จากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ตำรวจจากหน่วยดังกล่าวดูแลพื้นที่ จ.สระแก้ว และสุรินทร์ เป็นกำลังสนับสนุนการทำงานแนวหลัง พร้อมให้ความรู้การเผชิญเหตุกับตำรวจภูธรภาค 2 และภาค 3 ในทางยุทธวิธีด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ขน 3 ทีมชั้นยอดลงพื้นที่ บ่งบอกได้ว่าพร้อมที่จะลุยกับทุกสถานการณ์อย่างเต็มใจ ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับการก่อการร้ายหรือตอบโต้การซุ่มยิงแบบสไนเปอร์ หรือการบุกชิงตัวประกัน ที่คนไทยอาจจะถูกเขมรใช้เล่ห์จับกุมตัวไป

จากประสบการณ์ในสนามข่าวอาชญากรรมมากว่า 30 ปี “ประดู่แดง” ไม่เคยเจอบทบาทของตำรวจที่ต้องไปเฝ้าชายแดนเพื่อควบคุมม็อบ เพราะที่ผ่านมาตำรวจจะมีบทบาทในการคุมม็อบเพื่อรักษาความสงบตามพื้นที่ในเมืองหรือชุมชนเท่านั้น

อย่างกรณีการชุมนุมของกลุ่มการเมืองต่างๆ ตำรวจจะเป็นหน่วยแรกที่ออกหน้า วางมาตรการทั้งด้านการข่าว วางแนวป้องกัน วางจุดตรวจเข้มบริเวณโดยรอบการชุมนุมเพื่อป้องกันมือที่สามสร้างสถานการณ์ ผลการคุมเข้ม ตำรวจจะกลายเป็นเหยื่ออันโอชะให้กับแกนนำม็อบนำไร้สมองนำไปราษรัยโจมตี เชิงดูหมิ่น เหยียดหยาม อยู่เป็นประจำ ทั้งที่รู้ว่าเป็นภาระหน้าที่ที่ตำรวจต้องทำ

ถ้ามองถึงบทบาทที่ต้องคุมตามแนวชายแดน เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าทหารมีงบประมาณจำนวนมากและมีกำลังพลนับแสนนาย ทำไมถึงปล่อยให้บทบาทนี้ให้ตำรวจดำเนินการ จะอ้างว่าเหตุที่เกิดอยู่บนผืนดินไทย คงจะฟังไม่ขึ้น เพราะบริเวณชายแดนนี้ทหารยึดครองมาตลอด ตำรวจไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้เลย

ดังนั้นถ้าจะบอกว่าตำรวจต้องรับบทหนังหน้าไฟ คงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะไม่ว่าจะเหตุอะไรก็ตาม อาทิ ลัก วิ่ง ชิง ปล้น รถชน โดนตุ๋น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ หรือแม้แต่งูเข้าบ้าน หน่วยงานแรกที่ประชาชนจะต้องเรียกหาคือตำรวจ ซึ่งผลงานหรือความดีเหล่านี้มักจะไม่มีใครเอ่ยถึง

แต่ถ้าตำรวจไปกระทำผิดนอกลู่นอกทางเพียงเล็กๆ น้อยๆ หรือเพียงแค่กระพี้ จะกลายเป็นเหยื่ออันโอชะให้สื่อต่างๆ รวมถึงชาวบ้านบางกลุ่มนำไปขยายความขยี้ลงโซเชียลแบบไม่หลงเหลือความดีให้เห็นเลย จนลืมนึกถึงความเป็นจริงว่าที่สังคมสงบสุข สุจริตชนดำเนินชีวิตอยู่แบบสบายใจ เพราะมีตำรวจดีกว่า 99 เปอร์เซ็นต์

“ประดู่แดง” หยิบประเด็นตำรวจต้องเผชิญหน้าม็อบเขมรตามแนวชายแดน มานำเสนอเพียงเพื่อสะท้อนว่า ทุกหน้างานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ตำรวจเป็นหน่วยงานแรกที่รัฐบาลพึ่งพา แต่เมื่อถึงบทสรุปท้ายตำรวจจะเป็นหน่วยงานแรกๆ ที่รัฐบาลลืมเลือนที่จะตอบแทนหรือปูนบำเหน็จเช่นกัน ดังคำกล่าวของอดีตรอง ผบ.ตร.ท่านหนึ่ง กล่าวไว้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ว่า “ตำรวจคืออาชีพที่ถูกสาป ต้องอดทนต่อความเจ็บใจ”..!!!

ประดู่แดง ขอส่งกำลังใจถึงกำลังพลตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดน ทุกหน่วย​ ทุกๆนาย