พม. จัด SDx 2025 ดึงเครือข่ายระดับประเทศ-นานาชาติ ช่วยกลุ่มเปราะบางรับมือวิกฤตซ้อนวิกฤต

1086

ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์, วันที่ 17 กันยายน โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 กันยายน 2568 พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยมี คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ องค์กรระหว่างประเทศ ภาคีเครือข่าย ประชาชนทั่วไป และสื่อมวลชน เข้าร่วม

ทั้งนี้ งาน SDx 2025 เป็นเวทีระดับชาติและนานาชาติในการเสริมสร้างความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคมทั้งในและต่างประเทศ สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือและการจัดการต่อประเด็นท้าทาย “วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ” ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อีกทั้งเพื่อการสื่อสารนโยบายสำคัญของกระทรวง พม.ในการคุ้มครองสวัสดิภาพกลุ่มเปราะบางจากวิกฤตซ้อนวิกฤต ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ทั้งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กับผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศและนานาชาติจากหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) อาทิ UNDP, UNESCAP, UNFPA, UNICEF, World Bank, APCD และ ASEC นิทรรศการ กิจกรรม Workshop และ Market place จำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าของกลุ่มเปราะบาง

นายอนุกูล กล่าวว่า ทิศทางการพัฒนาของโลกในศตวรษที่ 21 ได้ให้ความสำคัญกับหลักการ “ความเสมอภาค และความยั่งยืน” เป็นกระแสหลัก แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ยังคงเกิด “ความเหลื่อมล้ำ” ในหลายมิติเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ  เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มผู้อพยพย้ายถิ่น รวมทั้งต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาค หลายประเทศทั่วโลก เช่นเดียวกับประเทศไทยที่กำลังเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤตทั้งโครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ รวมถึงวิกฤตเศรษฐกิจ

สำหรับวิกฤตโครงสร้างประชากร นั้น มี 3 องค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ 1) “เด็กเกิดน้อย” ปี 2567 มีเด็กเกิดใหม่เพียง 4.6 แสนคน 2) “วัยแรงงานลดลง” ปี 2567 วัยทำงาน 3 คน ต้องทำงานดูแลผู้สูงอายุ 1 คน และ 3) “สังคมสูงวัย” ประเทศไทยมีประชากรสูงอายุมากเป็นอันดับที่ 17 ของโลก หรือมากกว่าร้อยละ 20.69 ของประชากรไทย ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงในหลายด้าน อาทิ ภาระทางการคลังเพิ่มมากขึ้น ศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดต่ำลง  ภาครัฐแบกรับภาระผู้สูงวัยมากขึ้น โรงเรียนปิดตัว เด็กหลุดจากระบบการศึกษา ผู้สูงอายุอยู่ตามลำพัง

สำหรับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงอันดับที่ 30 ของโลก โดยต้องเผชิญกับ 4 ภัยหลัก ได้แก่ อุทกภัย ภัยแล้ง ภัยความร้อน และการกัดเชาะชายฝั่ง ซึ่งขณะนี้ เราต้องเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ สถานการณ์อุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นพื้นที่ภาคเหนือ  ตั้งแต่ปลายปี 2567 ซึ่งรุนแรงแบบไม่เคยเกิดมาก่อน, คลื่นความร้อนสูงส่งผลต่อสุขภาพผู้สูงอายุและคนพิการที่เสี่ยงต่อโรคฮีทสโตรก การย้ายถิ่นฐานเพื่อหนีภัยพิบัติ และหางานทำในเขตเมือง เด็กและผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งในชุมชน ผลผลิตทางการเกษตรและปศุสัตว์ตกต่ำ และความไม่มั่นคงทางอาหารของกลุ่มเปราะบาง

นายอนุกูล กล่าวว่า กระทรวง พม. ได้กำหนดนโยบายสำคัญ 2 เรื่อง เพื่อรับมือวิกฤติดังกล่าวได้แก่ (1) การจัดสวัสดิการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับคนทุกช่วงวัย อาทิ การขยายศูนย์เด็กเล็กใกล้บ้านอย่างมีมาตรฐาน , การพัฒนาข้อเสนอขยายอายุเกษียณ , กฎหมายส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุและคนพิการ , การพัฒนานักบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ , การพัฒนาผู้นำคนพิการที่สร้างแรงบันดาลใจ (TOP10) , ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) และนิคม NEXT โมเดล

และ (2) การดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ โดยมีการจัดตั้งศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.), จัดทำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (NAP), จัดทำแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ พ.ศ. 2568 ทั้งก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และหลังเกิดภัย, การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายการคุ้มครองทางสังคมที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของประชากรกลุ่มเปราะบางและชุมชน เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับธนาคารโลก (World bank), ปรับปรุงหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ร่วมกับกรมบัญชีกลาง, พัฒนาที่อยู่อาศัยราคาประหยัดของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และการจัดถุงยังชีพ GO BAG สำหรับกลุ่มเปราะบางได้มีสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในช่วงเกิดภัย

“วิกฤตซ้อนวิกฤต: โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ นับเป็นปัญหาของโลก ที่ประชากรทุกคนได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจแตกต่างกันไป แต่เชื่อว่าทุกประเทศมีประสบการณ์ที่สามารถนำมาแบ่งปัน นำไปปรับใช้ และงานในวันนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้ทำนโยบายเชิงรุกในการพร้อมรับมือและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และงานวันนี้ จึงเป็นวาระสำคัญในการมารวมตัวกันของทุกภาคส่วนทั้งภาคราชการ เอกชน และประชาสังคม รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ และสื่อมวลชน อีกทั้งเสียงสะท้อนจากเด็กและเยาวชนในอาเซียน ที่จะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต ซึ่งได้มาร่วมกันสร้างเจตนารมย์ ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์สำคัญ เพื่อนำไปปรับเป็นนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนและเหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศต่อไป” นายอนุกูลกล่าว