สงคราม “ไทย-เขมร” ส่อดับยากเปิดหรือปิดด่านโดนถล่มทั้งขึ้นทั้งล่อง

1343

ติดตามข่าวการเจรจาเปิดปิดด่านชายแดนไทย-เขมร ตัวแทนรัฐบาลอยู่ในอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้ายอมให้เปิดด่านจะโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงขั้นกล่าวหาว่าขายชาติ ถ้าไม่เปิดด่าน เศรษฐกิจตามแนวชายแดนมีมูลค่าปีละกว่าแสนล้านจะทรุดหนัก

เมื่อติดตามสถานการณ์ตั้งแต่ต้นมาจุดนี้นึกถึงคำพูดของอดีต พล.ต.อ. นายหนึ่งมีความเชี่ยวชาญทั้งจัดการกับม็อบและปลุกม็อบ ว่าการปลุกม็อบหรือปลุกกระแสอะไรก็ตามเพื่อหวังผลประโยชน์ให้กับกลุ่มของตัวเองทำได้ไม่ยาก แต่เมื่อสมหวังแล้วจะมาหยุดทำได้ยากกว่า จึงอดไม่ได้ที่จะนำมาเปรียบเทียบถึงความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ถึงขั้นล้มรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำได้

“จอมมารน้อย” ไม่ได้มีข้อมูลอะไรที่ลึกๆ เพียงแต่เกาะติดข่าวตั้งแต่เริ่มมาจนกระทั่งถึงเวลานี้ จนเกิดความรู้สึกว่าความขัดแย้งนี้เป็นเกมเพื่อชิงอำนาจ ที่กลุ่ม ผู้เล่นอาจจะประเมินผิดว่าเมื่อเกมจบแล้ว สถานการณ์จะกลับมาเหมือนเดิม

ขอย้อนไปที่จุดเริ่มต้น พลันที่สมเด็จ ฮุน เซน ผู้นำทางจิตวิญญาณของเขมร ปล่อยคลิปการสนทนาทางโทรศัพท์เป็นการส่วนตัวกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ม็อบที่ต่อต้านรัฐบาลหยิบเป็นเงื่อนไขเคลื่อนไหวขับไล่ถึงขั้นประณามว่าขายชาติ

เมื่อคลิปแพร่ออกไป น.ส.แพทองธาร ยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงตัวเอง พร้อมขยายความว่านัดคุยทางโทรศัพท์กับสมเด็จ ฮุน เซน ระหว่างรอมีรัฐมนตรีและเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอยู่ด้วย แต่สมเด็จ ฮุน เซน ไม่ยอมโทรฯ มา กระทั่งเดินทางกลับสมเด็จ ฮุน เซน จึงโทรฯ เข้ามา อาจจะด้วยความสนิทสนมกันทั้งสองครอบครัว น.ส.แพทองธาร ไว้วางใจคุยแบบออดอ้อน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง แต่ความไว้วางใจกลับมาเป็นหอกทิ่มแทง น.ส.แพทองธาร

กระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ประธานวุฒิสภา พร้อม สว. สายสีน้ำเงินยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า น.ส.แพทองธาร เข้าข่ายผิดจริยธรรมหรือคุณธรรมหรือไม่ มาพร้อมกับการเคลื่อนไหวของสมเด็จ ฮุน เซน โจมตีไทยผ่านสื่อโซเชียล จนเกิดการสู้รบระหว่างไทยกับเขมร

ขณะที่ในประเทศไทยมีการปลุกระดมให้ทหารจัดการกับเขมรอย่างเด็ดขาด ซึ่งทหารจัดการตามเสียงเรียกร้อง การปลุกมวลชนมีขึ้นเป็นระยะๆ สร้างความเกลียดชังเขมรอย่างหนัก กลุ่มคลั่งชาติเรียกร้องให้ปิดตายชายแดนไทยกับเขมร เพื่อสั่งสอนให้เขมรแพ้แบบราบคาบ

จังหวะเดียวกันทางเขมรปลุกระดมให้คนในชาติเกลียดชังคนไทยเช่นกัน มาพร้อมกับคำสั่งยิงถล่มไทยพุ่งเป้าไปที่พลเรือน ทหารไทยยิงต่อสู้เกิดการปะทะอยู่หลายระลอก เกิดความสูญเสียทั้งสองฝ่าย กระทั่งต่างชาติกดดันให้เจรจาหยุดยิง

ช่วงที่ปะทะ สมเด็จ ฮุน เซน ทำนายว่าประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ถัดมาไม่ถึงเดือนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้น.ส.แพทองธารพ้นเก้าอี้นายกฯ สภาผู้แทนราษฎรเปิดโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีแบบพิสดาร ได้นายอนุทิน ชาญวีรกุล เป็นนายกรัฐมนตรีเสียงข้างน้อย

แม้รัฐบาลภายใต้การนำ ของนายอนุทินยังบริหารประเทศไม่เต็มตัว แต่การเจรจาระหว่างไทยกับเขมรยังดำเนินการต่อ จังหวะหนึ่งในวงเจรจามีการเสนอให้เปิดด่านบางส่วน ด้วยการอ้างว่าประเทศที่สามขอมา ปรากฏว่าคนไทยต่อต้านอย่างหนัก ถึงขั้นที่สมาชิกพรรคภูมิใจไทยออกมาปัดว่ารัฐบาลนายอนุทินยังไม่มีอำนาจในการบริหาร ทั้งที่ก่อน พล.อ.รัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงกลาโหม จะเดินทางไป​ ได้เข้าหารือกับนายอนุทินและนายอนุทินบอกให้อำนาจเต็มที่

ขณะที่มวลชนกลุ่มต่างๆ เคลื่อนไหวผ่านโซเชียล ว่าห้ามรัฐบาลเปิดด่านอย่างเด็ดขาด เพราะเขมรไว้ใจไม่ได้ ต้องสั่งสอนเขมรให้ยอมศิโรราบ พร้อมเรียกร้องรัฐบาลนายอนุทินสร้างรั้วกั้นระหว่างไทยกับเขมร

ดังนั้นเมื่อมองถึงโอกาสที่รัฐบาลนายอนุทินจะแก้ปัญหาชายแดนไทย-เขมรให้จบพร้อมเปิดด่านค้าขายกันแบบปกติ เชื่อว่าคงทำได้ยาก แม้ว่าสมเด็จ ฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะส่งหนังสือมาแสดงความยินดีกับนายอนุทินเสมือนการยื่นไมตรีให้กันก็ตาม

ถ้าวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งนายอนุทินมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บวกกับการทำนายของสมเด็จ ฮุน เซน ว่านายกรัฐมนตรีไทยจะถูกปรับออก พอคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นเกมที่ถูกวางเพื่อโค่นรัฐบาลแพทองธาร เพราะจังหวะก้าวสอดรับกันทั้งสองฝ่าย และถ้ามีการวางแผนจริง ผู้ก่อการคงลืมนำสื่อโซเชียล มาไว้ในสมการด้วย

แต่ “จอมมารน้อย” ไม่แน่ใจว่าเกมนี้สมเด็จ ฮุน เซน อยู่ในสมการด้วยหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ การที่สมเด็จ ฮุน เซน สั่งให้ทหารเขมรยิงถล่มไทยเพื่อเร่งความขัดแย้งให้สุกงอม กลายเป็นการจุดชนวนปลุกคนไทยเกือบทั้งประเทศเกลียดชังเขมรแบบเข้ากระดูกดำไปแล้ว ถึงขั้นเรียกร้องไม่ให้รัฐบาลเปิดด่านค้าขายกับเขมรอย่างเด็ดขาด

ดังนั้นเมื่อนายอนุทินนั่งบริหารประเทศเต็มตัว การเจรจาเพื่อให้สถานการณ์ชายแดนไทยกับเขมรกลับสู่ปกติเหมือนในอดีต คงทำได้ลำบากแล้ว เพราะความเกลียดชังเขมรฝังเข้าไปในส่วนลึกของคนไทยเกือบทั้งประเทศแล้ว และจะส่งผลไปถึงเสถียรภาพของรัฐบาลฮุน มาเน็ต ให้สั่นไหวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ซึ่งสถานการณ์ลักษณะนี้จะเข้าทำนองจุดกระแสนั้นง่าย เมื่อติดแล้วจะควบคุมยาก ถึงขั้นลามทำร้ายตัวเองหรือไม่นั้น วิญญูชนพึงประเมินกันเอง !!!