อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยดัง วัย 85 ปี ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลงทุน สูญเกือบ 40 ล้าน ตำรวจ–ธนาคารสกัดทัน อายัดเงินบางส่วนไว้ได้

วันที่ 12 กันยายน เวลา 11.45 น. อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง วัย 85 ปี เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ หลังตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในรูปแบบโบรกเกอร์เถื่อน หลอกลงทุนซื้อขายหุ้น สูญเงินรวมกว่า 38 ล้านบาท โดยมี พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบช.น. รักษาราชการแทน ผบก.น.2 และ พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. ร่วมสอบปากคำ
ทั้งนี้ เหยื่อถูกล่อลวงผ่านเพจลงทุนในเดือนสิงหาคม ถูกเชิญเข้ากลุ่มไลน์ปลอมที่มีสมาชิกจำนวนมาก อ้างลงทุนบิ๊กล็อตกำไรสูง มิจฉาชีพสร้างพอร์ตปลอมทำให้หลงเชื่อ จึงโอนเงินหลายครั้งรวมกว่า 38 ล้านบาท
กระทั่งเมื่อผู้เสียหายพยายามถอนเงิน 1.9 ล้านบาทเพื่อนำไปลงทุนต่อ ธนาคารกสิกรไทยตรวจพบความผิดปกติและประสานตำรวจเข้าตรวจสอบ สามารถอายัดเงินไว้ได้ทัน 3 ล้านบาท ก่อนที่เงินจะถูกโอนผ่านบัญชีม้ากว่า 22 บัญชี และเปลี่ยนเป็นสกุลดิจิทัลเพื่อฟอกเงิน

ด้าน พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า ในกรณีของอดีตอธิการบดีรายนี้ ถูกหลอกในลักษณะของการให้ร่วมลงทุน จากเพจ ๆ หนึ่ง และจะได้ผลตอบแทนสูง ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายเกือบ 40 ล้านบาท โดยผู้เสียหายไม่รู้ว่าถูกหลอก ซึ่งวอร์รูมของศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติ (ศกค.) ที่ได้ร่วมกับพนักงานสถาบันการเงิน ได้ตรวจสอบความเคลื่อนไหว แล้วพบว่ามีเส้นเงินจากบัญชีของผู้เสียหายวิ่งเข้าไปยังบัญชีอื่นอย่างผิดปกติ ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการอายัดไว้ได้ทัน โดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกหลอก ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะติดต่อไปที่ผู้เสียหาย เพื่อแจ้งให้ทราบว่ากำลังถูกมิจฉาชีพหลอกอยู่
ส่วนจำนวนเงินที่อายัดเงินไว้ได้เท่านั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าเงินส่วนใหญ่ถูกโอนไปยังบัญชีม้า ก่อนที่จะมีการไปแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัล และกดเป็นเงินสด
ด้าน พล.ต.ต.พัลลภ รอง ผบช.น. ในฐานะรักษาราชการแทน ผบก.น.2 ได้ออกมาเปิดเผยหลังการซักถามข้อมูล นานเกือบ 2 ชั่วโมงว่าผู้เสียหาย ได้ไปเจอเพจให้ร่วมเทรดหุ้นเมื่อเดือนสิงหาคม โดยมิจฉาชีพที่อ้างตัวเป็นโบรกเกอร์ ให้ร่วมเทรดหุ้น ก่อนที่จะถูกดึงเข้าไปในกลุ่มไลน์ โดยเทรดไปหลายครั้ง โดยมิจฉาชีพจะสร้างพอร์ตปลอมขึ้นมา เสมือนว่าเทรดได้เงินจริง ๆ
จากนั้น ก็ชักชวนให้ผู้เสียหายเข้ากลุ่มไลน์ ที่มีสมาชิกเป็นร้อยคน เพื่อร่วมเทรดหุ้นแบบบิ๊กล็อต ซื้อในราคาถูก และได้กำไรเยอะ โดยเป็นการร่วมลงทุนหลายคน จำนวนหลาย 10 ล้านบาท ทำให้เหยื่อหลงเชื่อ และมีการโอนเงินไป 10 กว่าครั้ง สูญเงินทั้งสิ้น 38 ล้านบาท
โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ ทางผู้เสียหายต้องการจะถอนเงิน 1 ล้าน 9 แสนบาท จากธนาคารกสิกรไทย ก่อนที่จะโอนเข้าสู่บัญชี 3 บัญชี ซึ่งทางธนาคารพบความผิดปกติ จึงโทรไปเตือนเหยื่อ และรีบเข้าไปหาเหยื่อ จึงทำให้สามารถอายัดเงินได้ 3 ล้านบาท และจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการขยายผลเพิ่มเติม ก็พบว่าเงินมีการเคลื่อนไหวไปกว่า 22 บัญชี และทางมิจฉาชีพจะใช้เป็นบัญชีบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชี่อถือให้เหยื่อและพบว่าไปกดเงินตามตู้ในต่างจังหวัด ส่วนสมาชิกในกลุ่มไลน์ จะต้องตรวจสอบก่อนว่า มีใครเป็นหน้าม้า หรือใครเป็นผู้เสียหายบ้าง

ขณะที่ พล.ต.ต. โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า ทางตำรวจได้เข้าไปหาเหยื่อเมื่อวานนี้ และแจ้งว่ามิจฉาชีพหลอก ซึ่งตอนแรกเหยื่อยังไม่เชื่อ ยังเข้าใจว่าตนเองเทรดหุ้นได้จริง ทางตำรวจจึงติดต่อไปทางธนาคารว่า ไม่มีบัญชีของเหยื่อที่นำไปเทรดหุ้นอยู่ ทำให้เหยื่อค่อย ๆ ยอมรับแต่ก็ยังมีความหวังว่าจะได้เงินคืน และยังดีที่ตำรวจเข้าไปถึงตัวเหยื่อได้ทัน ไม่อย่างนั้น เหยื่ออาจจะโอนเงินเพิ่มอีก 40 ล้านบาทให้มิจฉาชีพ
ส่วนที่มิจฉาชีพใช้ บัญชีบริษัทเป็นบัญชีปลายทางในการรับโอนเพราะ มีความน่าเชื่อถือ และไม่ต้องสแกนหน้าเพื่อยืนยันตัวตน ซึ่งบริษัทเหล่านี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อฟอกเงินโดยเฉพาะ
ขณะที่ในท้องที่ สน.หัวหมาก ก็มีผู้เสียหายอีกหนึ่งรายที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกโอนเงินอีก 6 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกในลักษณะเดียวกัน โดยพบว่าเส้นเงินบางส่วน ปลายทางไปยังธนาคารต่างประเทศ

