หวั่นการเมืองจัดทัพรับเลือกตั้งล้วงลูกแต่งตั้ง “รอง ผบก.-สว.”เชื่อ “ผบ.ตร.” หาช่องรับมือได้

2186

นายพลตำรวจที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม หายใจโล่งไปตามๆ กัน เพราะไม่ต้องเกรงว่ารัฐบาลชุดใหม่จะใช้อำนาจมารื้อโผ เพราะได้รับการโปรดเกล้าฯ เรียบร้อยแล้ว และวันที่ 1 ตุลาคม คงทยอยเข้ารับตำแหน่งใหม่ตามฤกษ์ยามที่ไปดูกันไว้

จากนี้จะถึงคิวการแต่งตั้งระดับรองผู้บังคับการ (รอง ผบก.)-สารวัตร (สว.) ตามไทม์ไลน์ที่กฎ ก.ตร. ว่าการแต่งตั้งตำรวจ 2567 ระบุว่าให้ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป และออกคำสั่งให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤศจิกายนของทุกปี โดยให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กำหนดวันออกคำสั่งและวันมีผลบังคับใช้

การแต่งตั้งครั้งนี้จะถูกจับตามองเป็นพิเศษกว่าทุกปี เนื่องจากอำนาจรัฐบาลเปลี่ยนขั้วใหม่ แถมพ่วงด้วยข้อตกลงที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ลงนามสัญญาไว้กับพรรคประชาชนว่าจะยุบสภาภายใน 4 เดือนนับตั้งแต่วันแถลงนโยบาย สัญญาจะเป็นจริงหรือถูกลากยาวด้วยกำลังภายในพิเศษหรือไม่ สุดจะคาดเดา

แต่ที่ผ่านมา ช่วงใกล้ตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) การจัดทัพสีกากีมักจะถูกฝ่ายการเมืองเข้ามาล้วงลูกในลักษณะวางคนใกล้ชิดนั่งในตำแหน่งสำคัญๆ อาทิ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) ผบก.สืบสวนภาค 1-9 รวมถึงหัวหน้าโรงพัก และผู้กำกับการสืบสวนจังหวัดฯ เพื่อเอื้อให้กับ ส.ส.ซีกรัฐบาลในแต่ละพื้นที่ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งเมื่อมีตำรวจเป็นเครือข่ายเดียวกัน

ขอยกตัวอย่าง ถ้ามีตำรวจเป็นพวกเดียวกันในพื้นที่ สามารถที่จะใช้กำราบฝ่ายตรงข้ามได้ อาทิ ให้จับตาดูหัวคะแนนฝ่ายตรงข้ามว่าจ่ายเงินซื้อเสียงหรือไม่ ถ้าจ่ายจะเข้าจับกุมได้ทันที หรือช่วงคืนหมาหอนให้ตำรวจเฝ้าหัวคะแนนฝ่ายตรงข้ามไว้ แล้วปล่อยให้ผู้สมัคร ส.ส.ที่เป็นพวกเดียวกันเดินซื้อเสียงแบบสบายใจเฉิบ หรือถ้ามีการข่าวว่าฝ่ายตรงข้ามจะออกซื้อเสียง สามารถเข้าสืบสวนหรือตั้งด่านตรวจจับได้ทันที

ตัวอย่างที่ยกมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งในหลายๆ ส่วนที่ผู้สมัคร ส.ส.ซีกรัฐบาลสามารถใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือเพื่อให้ตัวเองคว้าชัยได้

จึงทำให้เชื่อได้ว่าการแต่งตั้งครั้งนี้ตั๋วการเมืองคงว่อนสำนักปทุมวัน รวมถึงกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น และพอจะคาดเดาได้ว่าตั๋วคงจะมาจากบ้านใหญ่หลายจังหวัด อาทิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ อ่างทอง พะเยา กำแพงเพชร ฉะเชิงเทรา เพชรบูรณ์ สตูล สงขลา ระนอง และนครศรีธรรมราช เป็นต้น

แต่สำหรับตำรวจที่วิ่งเต้นขอตั๋วมาได้ ต้องพึงระวังไว้ด้วยว่ามีคุณสมบัติพร้อมที่จะขยับขึ้นหรือย้ายระนาบหรือไม่ เพราะนับแต่กฎหมายตำรวจ 2565 และกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการแต่งตั้งฯ 2567 บังคับใช้ ทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายหลายครั้งที่ผ่านมาเดินตามกฎกติกาค่อนข้างเข้ม

ทำให้ตั๋วที่ได้มาเป็นหมันมานักต่อนักแล้ว เนื่องจากผู้มีอำนาจแต่งตั้งในแต่ละ บช. และ บก. ไม่กล้าฝืน เพราะนอกจากมีกฎ ก.ตร. ที่วางไว้ค่อนข้างเข้มแล้ว ตำรวจที่มีคุณสมบัติครบแต่ไม่ได้รับการพิจารณาสามารถร้องคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ได้ ซึ่งคำวินิจฉัยเทียบเท่าศาลปกครองชั้นต้น และใช้เวลาในการวินิจฉัยไม่นานจะทราบผล และได้รับการเยียวยาแบบทันท่วงที แถมท้ายด้วยผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องจะถูกลงทัณฑ์ด้วย

แม้กฎกติกาจะเข้มแค่ไหน แต่นักวิ่งสีกากีส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะใส่ใจ เพราะมั่นใจว่าถ้าได้ตั๋วจากนักการเมืองใหญ่หรือรัฐมนตรี หรือผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆ แล้วมักจะบรรลุเป้า เพราะผู้มีอำนาจระดับ บก. บช. และ ตร. มักสนองตอบ นอกจากจะได้บุญคุณยังช่วยเสริมเก้าอี้ให้มั่นคงอีกด้วย

แต่ “ประดู่แดง” เชื่อว่าตั๋วที่ฝ่ายการเมืองหรือผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆ ฝากมานั้น ถ้าผู้ถือตั๋วคุณสมบัติไม่ตรงกับหลักเกณฑ์ที่กำหนด เชื่อว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. คงจะปล่อยผ่านยาก ถ้าย้อนดูอดีตที่ผ่านมา พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ จะยึดมั่นในกฎกติกาแบบเข้มข้น และมีความกล้าที่จะชี้แจงถึงเหตุและผลให้กับเจ้าของตั๋วทราบว่าทำไมผู้ถือตั๋วไม่ได้ตำแหน่งตามที่ต้องการ

ซึ่งความกล้าของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ แสดงให้เห็นตั้งแต่รับตำแหน่ง ผบ.ตร. ใหม่ๆ ช่วงนั้นอดีต ผบ.ตร. และอดีตตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนาย ต่างกังวลว่าจะรับมือกับฝ่ายการเมืองไม่ไหว เพราะที่ผ่านมาบทบาทไม่ค่อยโดดเด่น

แต่เมื่อถึงเวลาพิจารณาโผโยกย้ายนายพลตำรวจ ปรากฏว่ามีเสียงชมจากอดีต ผบ.ตร. คนหนึ่งว่ารับมือได้เป็นอย่างดี ช่วงพิจารณาแต่งตั้งระดับนายพลตำรวจ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล้าที่จะชี้แจงถึงเหตุผลว่าทำไมนายตำรวจที่ฝ่ายการเมืองขอมาถึงไม่ได้รับการแต่งตั้ง และทำไมนายตำรวจคนนี้ถึงได้รับการแต่งตั้ง การกระทำลักษณะนี้มี ผบ.ตร. เพียงไม่กี่คนที่กล้าแสดงความเห็นค้านนายกรัฐมนตรีหรือฝ่ายการเมือง

ดังนั้นจากปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้เชื่อว่าการแต่งตั้งโยกย้ายรอง ผบก.-สว. จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป คาดว่าตั๋วการเมืองและตั๋วจากผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆ คงว่อนสำนักปทุมวัน นั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รับมือได้อย่างแน่นอน !!!