ศุลกากรสกัดจับผู้โดยสารเวียดนาม ลักลอบขนนอแรด 5 ชิ้น มูลค่า 6.9 ล้าน ผ่านไทยไปลาว

512

กรมศุลกากรสุวรรณภูมิ รวบชายเวียดนามลอบขนนอแรดจากแองโกลา น้ำหนักรวม 6.86 กก. มูลค่าเกือบ 7 ล้านบาท เตรียมส่งต่อปลายทางลาว ย้ำเดินหน้านโยบายเข้มข้น สกัดขบวนการค้าสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ตามอนุสัญญาไซเตส

วันนี้ (วันที่ 7 กันยายน 2568) นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร กล่าวว่า ตามที่นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศลกากร ได้มีนโยบายให้เพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพื่อปกป้องสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ของประเทศไทยและของโลก หน่วยงานในสังกัดกรมศุลกากรจึงเฝ้าระวังการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพันธุ์พืชอย่างไกล้ชิด

โดยนายวิศญ วัชราวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารทำอากาศยานสุววรรณภูมิ ได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ในสังกัดฯดำเนินการตามโยบายอย่างเคร่งครัดเพื่อสกัดกั้นขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชบำที่ใกล้จะสูญพันธุ์ หรืออนุสันุสัญญาไซเตส (CITES) ผ่านทางทำอากาศยานโดยใช้ข้อมูลการข่าวและการวิเคราะห์ข้อมูลผู้โดยสารจากระบบตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้า จนสามารถระบุตัวผู้โดยสารที่มีความเสี่ยงในการลักลอบขนส่งนอแรดผ่านประเทศไทย และนำไปสู่การขยายผลตรวจค้น – จับกุมได้ในครั้งนี้

โดยเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2568 เวลาประมาณ 19.45 น. เจ้าหน้าที่ศุลกากร ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทำการจับกมผู้โดยสารชายสัญชาติเวียดนาม เดินทางจากกรุงลอันดา สาธารณรัฐแองโกลา มีกำหนดเปลี่ยนเที่ยวบินที่กรุงแอดดิสอาบาบา สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย มายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทยเพื่อเดินทางต่อไปยังปลายทางนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยชายคนดังกล่าวมีลักษณะตรงตามข้อมูลที่ทำการวิเคราะห์ไว้ เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจค้น พบนอแรด จำนวน 5 ชิ้น น้ำหนักรวม6.86 กิโลกรัม มูลค่าเบื้องต้นประมาณ 6.9 ล้านบาท ซึ่งกรณี เป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติญัติศลกากรพ.ศ. 2560 พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป้า พ.ศ. 2562 และ พระราชบัญญัติไรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558

โฆษกกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า กรมศุลกากรจะทำการร่วมมือและวิเคราะห์ข้อมูลกับหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อสกัดกั้นขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป้าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ หรืออนุสัญญาไซเตส (CTES) ให้เกิดวามมั่นคงทางสังคมและสิ่งแวดล้อมต่อไป