กรุงเทพฯ วันที่ 4 ก.ย. – นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 2 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ โดยเพิ่มรายการสัตว์ป่าคุ้มครองที่เป็นสัตว์น้ำ จำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 3 ชนิด ในบัญชีหมายข 2 ได้แก่ วาฬหลังค่อม (Megaptera novaeangliae) เป็นลำดับที่ 22, วาฬเบลนวิลล์ (Mesoplodon densirostris) เป็นลำดับที่ 23, และโลมาริสโซ (Grampus griseus) เป็นลำดับที่ 24 เพื่อให้สัตว์ทั้ง 3 ชนิดนี้ ได้รับความคุ้มครองตาม พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ห้ามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก เว้นแต่จะได้รับอนุญาต และต้องกระทำเพื่อกิจการสวนสัตว์เท่านั้น การมีไว้ในครอบครองก็จำเป็นต้องได้รับใบอนุญาตเช่นกัน
นายปิ่นสักก์ กล่าวว่า ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการปกป้อง และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล เพราะวาฬ และโลมาทั้ง 3 ชนิดนี้มีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเล แต่จำนวนประชากรมีแนวโน้มลดลงอย่างน่าเป็นห่วง โดยอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) กำหนดให้ วาฬหลังค่อม เป็นสัตว์ป่าในบัญชีหมายเลข 1 ส่วน วาฬเบลนวิลล์ และ โลมาริสโซ เป็นสัตว์ป่าในบัญชีที่ 2 เพื่อการอนุรักษ์สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม และรักษาสมดุลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ดังนั้นจึงเห็นควรกำหนดให้สัตว์ทั้ง 3 ชนิด เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เนื่องจากอาจมีโอกาสถูกจับหรือติดเครื่องมือประมงระหว่างทำการประมงโดยบังเอิญ หรืออาจส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามธรรมชาติ เกิดการบาดเจ็บ นำไปสู่การใกล้สูญพันธุ์ หรืออาจถูกล่าเพื่อนำไปจัดแสดงในสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำได้

“กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำเนินภารกิจในการสำรวจการแพร่กระจายของวาฬและโลมา รวมถึงการศึกษาวิจัยเพื่อการอนุรักษ์ พร้อมทั้งเผยแพร่ข้อมูล องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ทะเลหายากที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเล ตรวจตราเฝ้าระวัง และรับแจ้งการพบเห็นสถานการณ์สัตว์ทะเลหายาก ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือและรักษาพยาบาล แม้ว่าวาฬและโลมาทั้ง 3 ชนิดนี้ จะไม่ได้เป็นสัตว์ประจำถิ่นของประเทศไทย แต่ก็มีรายงานการพบเห็นในน่านน้ำไทย โดยวาฬหลังค่อมและวาฬเบลนวิลล์ มีการเก็บข้อมูลการพบเห็น การเกยตื้น และการแพร่กระจาย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เคยสำรวจพบที่อ่าวปอ จังหวัดภูเก็ต
ขณะที่โลมาริสโซ มีรายงานการเกยตื้นระหว่างปี 2546–2565 ถึง 11 ครั้ง ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ในหลายจังหวัด เช่น ภูเก็ต ระยอง นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี นราธิวาส สงขลา และตรัง แสดงให้เห็นว่า สัตว์ทั้ง 3 ชนิดนี้ เป็นสัตว์อพยพระยะไกลที่พบได้ทั่วภูมิภาค การเพิ่มเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองจึงมีส่วนช่วยฟื้นฟูความสมบูรณ์ของทะเลไทย อีกทั้งยังลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าในตลาดโลก และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านการอนุรักษ์สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม ตลอดจนกระตุ้นให้ชุมชนและประชาชนเกิดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ดูแลแหล่งอาหารและถิ่นอาศัยไม่ให้เสื่อมโทรม และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างยั่งยืน” อธิบดี ทช.กล่าว

