กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันประสิทธิภาพแอนตี้โดรนฝีมือคนไทยจากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน หลังใช้งานจริงหยุดโดรนกัมพูชาได้ผล แต่ยังไม่เพียงพอ จึงขอสนับสนุนเพิ่มอีก 99 ระบบ มูลค่ากว่า 211 ล้านบาท เพื่อปกป้องชีวิตทหารและอธิปไตยของชาติ

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 ผูัสื่อข่าวรายงานว่า หลังจากการที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้ทำงานกับกองทัพภาคที่ 2 โดยเฉพาะกับ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 โดยมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้ทำโครงการโดรนทิ้งระเบิด โดรนลาดตระเวน โดรนโลเคเตอร์ และแอนตี้โดรน โดยเป็น “สะพานบุญ” ให้กับพี่น้องประชาชนที่บริจาคเงิน ร่วมกับผู้ผลิตที่มีความรู้ในด้านการผลิตโดรนและแอนตี้โดรนฝีมือคนไทยที่มีประสิทธิภาพและราคาไม่แพงแต่ไม่เปิดเผยตัว ได้มาทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ต่อฮธิปไตยของชาติและความปลอดภัยในชีวิตทหาร ดังที่ทราบแล้วนั้น
สำหรับโครงการเกือบสุดท้ายที่แม่ทัพภาคที่ 2 ท่านแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ลงนามเป็นเอกสารกับทางมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ในการที่จะสั่งทำโดรนชนิดพิเศษและแบตเตอรี่ ซึ่งยังเป็นความลับทางราชการที่ยังไม่อาจะเปิดเผยได้จนกว่าจะส่งมอบหรือลงปฏิบัติการ จากจำนวนเงินของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินที่เหลืออยู่ประมาณ 52 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ได้เร่งมอบโดรนทิ้งระเบิดให้อีก 41 ลำ โดรนลาดตระเวน 20 ลำ และ แอนตี้โดรนแบบพกพา (ระบบต่อต้านโดรน)จำนวน 20 ระบบ ทั้งหมดนี้ทำโดยคนไทย และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของฝ่ายตรงข้าม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาหยุดยิงที่ผ่านมา กัมพูชานอกจากจะมีจำนวนโดรนบินขึ้นมามากรุกล้ำน่านฟ้าไทยในจุดต่างๆที่มีความสำคัญแล้ว ยังมีระบบแอนตี้โดรนที่กำลังส่งแรงสูงตลอดแนวชายแดนอย่างผิดหูผิดตาด้วย อีกทั้งปรากฏเป้นคลิปวีดีโอว่ากัมพูชาเริ่มมีการฝึกนักบินโดรนสำหรับทิ้งระเบิดแล้วเช่นเดียวกัน
นั่นแสดงว่าหากเกิดการปะทะอีกครั้งหลังจากนี้ แม้ฝ่ายไทยจะไม่แพ้ แต่อาจจะมีความเสี่ยงที่ทหารในฝั่งกัมพูชาจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยได้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ได้ส่งมอบอุปกรณ์เกี่ยวกับโดรนและแอนตี้โดรนให้กองทัพเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 นั้นได้ปรากฏว่าโดรนของฝั่งกัมพูชาไม่สามารถบินเข้ามาในพื้นที่ในรัศมีการครอบคลุมของระบบแอนตี้โดรนของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้ และทำให้โดรนในฝั่งกัมพูชาได้ลดลงไปอย่างมากอย่างเห็นได้ชัด จนเกือบจะไม่มีข่าวเรื่องโดรนกัมพูชาตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา แตกต่างจากระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ที่โดรนในฝั่งกัมพูชาได้บินอยู่เหนือสถานที่สำคัญของกองทัพไทยและสถานที่สำคัญของพลเรือนโดยที่ไม่มีใครทำอะไรได้
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้น เป็นที่ประจักษ์หน้างานจริงได้สร้างความยินดีและขวัญกำลังใจให้กับทหารหาญอย่างมาก ที่ได้รับแอนตี้โดรนจากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
อย่างไรก็ตามระบบแอนตี้โดรนจำนวน 20 ระบบ (สถานี) ซึ่งมอบไปโดยมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน แม้จะได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบแอนตี้โดรนที่ดีที่สุดและใช้ได้จริงในขณะนี้ แต่ก็มีจำนวนไม่เพียงพอในสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ดี
มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจึงได้สอบถามทางท่านพลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ว่าทางกองทัพภาคที่ 2 ต้องการจำนวนระบบแอนตี้โดรนอีกเท่าไหร่ เพื่อให้เพียงพอในการรักษาชีวิตทหาร ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้รวบรวมและแจ้งมาว่าต้องการอีก 99 ระบบ จึงจะเพียงพอ หากทางมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจะมีกำลังช่วยสนับสนุนได้

ด้วยเหตุผลนี้ทางพลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 จึงได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ กห 0482/3832 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 ตามภาพที่แนบมา แจ้งให้ทางมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินให้ทราบ 2 เรื่อง
1.กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าระบบแอนตี้โดรนที่ทางมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินมอบให้ไป 20 ระบบนั้น มีประสิทธิภาพสูง และแก้ปัญหาหารต่อต้านโดรนฝ่ายตรงกันข้ามได้ดีจริง
2.กองทัพภาคที่ 2 ได้รวบรวมความต้องการของหน่วยในพื้นที่ซึ่งต้องการแอนตี้โดรนที่มีประสิทธิภาพสูงของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน รวมทั้งสิ้น 99 ระบบ (สถานี)
ซึ่งน่าจะเป็นหนังสือจากท่านแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ได้แจ้งโครงการสำคัญนี้ที่อาจเป็นโครงการ 30 วันสุดท้าย ก่อนที่ท่านพลโทบุญสิน พาดกลาง จะเกษียณอายุราชการ
ระบบแอนตี้โดรนของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินนั้นมีมูลค่าระบบละ 2,140,000 บาท ดังนั้นหากจะผลิตจำนวน 99 ระบบ จะต้องใช้งบประมาณอีกจำนวน 211,860,000 ล้านบาท ซึ่งแปลว่า มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจะต้องเปิดให้มีการระดมทุนอีกครั้งจากพี่น้องประชาชนเพื่อรวบรวมให้กับกองทัพภาคที่ 2 ให้ได้มากที่สุดตามกำลังของพี่น้องประชาชนเท่าที่จะทำได้
ซึ่งนอกจากเราจะอยู่ระหว่างที่รัฐบาลรักษาการแล้ว ต่อให้มีงบประมาณหรือใช้วิธีพิเศษในการเร่งรัดแล้วก็ตาม ยังต้องมีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการที่ต้องใช้เวลา 4-6 เดือนกว่าจะได้อุปกรณ์ที่ต้องการ ซึ่งอาจจะไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาระหว่างไทย-กัมพูชา

มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจึงกราบเรียนมาเพื่อแจ้งต่อพี่น้องประชาชนให้ทราบในโครงการดังกล่าวโดยท่านที่สนใจสามารถเข้าร่วมบริจาคโครงการเพื่อจัดซื้อแอนตี้โดรนไทย ให้กับกองทัพภาคที่สอง ได้ที่
บัญชีออมทรัพย์ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 008-2-18199-9 (โปรดระวังมิจฉาชีพ ไม่มีสแกนคิวอาร์โค้ท หรือกดลิงค์บัญชีใดๆเด็ดขาด)
โดยเงินทุกบาทของทุกท่านจะเปิดเผย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพจริงในการใช้งานเหมือนกับช่วงเวลาที่ผ่านมา และเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประชาชนที่สนับสนุนกองทัพในการปกป้องอธิปไตย และทำให้ทหารมีความปลอดภัย อย่างน่าภาคภูมิใจสืบไป
ด้วยจิตคารวะและกราบขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน 2 กันยายน 2568
อ้างอิงจาก
https://www.facebook.com/share/p/19kkVJFiXa/?mibextid=wwXIfr

