ทูตไทย ยื่นหลักฐานมัด เขมรใช้ทุ่นระเบิด-ปล่อยเฟคนิวส์ ต่อเลขายูเอ็น

479

สหรัฐอเมริกา, วันที่ 28 สิงหาคม – นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก พร้อมคณะเข้าพบหารือกับนาย António Guterres เลขาธิการสหประชาชาติ เกี่ยวกับสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยประเด็นสำคัญของการหารือครั้งนี้ คือ การขอรับคำชี้แจงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยกัมพูชา ซึ่งประเทศไทยดำเนินการตามข้อบทที่ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา ซึ่งนายเชิดชายได้มอบหลักฐานเชิงประจักษ์และเอกสารประกอบ นอกเหนือจากเอกสารดังกล่าว

คณะผู้แทนไทยได้แสดงหลักฐานภาพเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชาที่แสดงวิธีการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและลักลอบฝังทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในเขตแดนไทย เอกอัครราชทูตไทย แสดงความห่วงกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ด้านมนุษยธรรม สืบเนื่องจากเหตุการณ์ทุ่นระเบิดในเขตแดนไทย โดยครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ส่งผลให้มีจำนวนทหารที่พิการถาวร จำนวน 6 นาย

นอกจากนี้ ไทยได้หยิบยกสถานการณ์ภายหลังการบรรลุความตกลงหยุดยิง พร้อมแสดงความขอบคุณประธานอาเซียนสำหรับการอำนวยความสะดวกดังกล่าว และยืนยันความยึดมั่นในการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง เอกอัครราชทูตฯ ได้กล่าวถึงความท้าทายหลายประการ รวมถึงการยั่วยุและเผยแพร่ข้อมูลเท็จที่บ่อนทำลายความมั่นคง แต่ท่ามกลางความท้าทาย ยังมีพัฒนาการเชิงบวกจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ครั้งล่าสุด 1 วันก่อนหน้า ซึ่งนำมาสู่ข้อตกลง 11 ข้อ เพื่อลดความตึงเครียดทางการทหารและส่งเสริมการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไทยในการขับเคลื่อนกลไกการหารือทวิภาคี

เลขาธิการสหประชาชาติได้รับทราบหลักฐานที่ไทยนำเสนอและให้ความมั่นใจว่าจะดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างเหมาะสม โดยหน่วยงานด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของสหประชาชาติ (United Nations Mine Action Service: UNMAS) พร้อมให้การสนับสนุนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด อีกทั้งยังชื่นชมการแก้ไขปัญหาอย่างสันติของประเทศไทยผ่านช่องทางทวิภาคีและพหุภาคีอย่างต่อเนื่อง และขอให้ทั้งสองฝ่ายหารืออย่างสร้างสรรค์ต่อไป

ในโอกาสเดียวกันนี้ นายเชิดชายได้แจ้งเลขาธิการสหประชาชาติถึงมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 อนุญาตให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาทำงานในประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมาย โดยเลขาธิการสหประชาชาติชื่นชมการตัดสินใจของประเทศไทย ซึ่งสะท้อนความยึดมั่นในหลักการสิทธิมนุษยชน

ประเทศไทยคงความมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาอย่างสันติผ่านกลไกทางการทูต บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ และเพื่อสันติภาพและความมั่งคั่งของภูมิภาค