เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์, วันที่ 27 ส.ค. – นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงการหารือกับ นางนาดา อัล-นาชิฟ (Nada Al-Nashif) รองข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNOHCHR) ว่า ได้แสดงข้อมูลหลักฐาน และชี้แจงข้อเท็จจริงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกัมพูชาในหลายประเด็น การที่กัมพูชาใช้โซเชียลมีเดียโจมตีไทยอย่างต่อเนื่องยาวนาน รวมถึงการให้ข้อมูลว่าไทยลอกเลียนแบบวัด และประวัติศาสตร์ของเขา ซึ่งไทยพยายามแก้ไขปัญหาด้วยความอดทนอดกลั้น เพราะไม่ต้องการให้เกิดความร้าวฉานระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยพยายามใช้กลแบบทวิภาคี ซึ่งรองข้าหลวงใหญ่ฯ มีความเห็นสนับสนุนไทยในหลายเรื่อง และมีท่าทีที่เป็นห่วงประเทศไทยมาก
นายมาริษ กล่าวว่า ได้อธิบายให้นางนาดาได้เข้าใจว่าไทยปฏิบัติตามกติกา ยึดถือกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ และพยายามหาทางให้กัมพูชามาพูดคุยกับไทย ซึ่งไทยกับกัมพูชามีข้อตกลง MOU43 ที่ทั้งสองประเทศจะต้องแก้ปัญหาร่วมกันอย่างสันติวิธี และด้วยความจริงใจ นับเป็นกลไกที่องค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญ คือการเจรจาทวิภาคีโดยสันติและจริงใจ โดยไทยยึดมั่นมาโดยตลอด และเป็นเป้าหมายที่สำคัญของไทย

รมว.ต่างประเทศกล่าวว่า ตนได้หยิบยกประเด็นที่นายฮุน เซน อัดเสียงพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีของไทย และนำมาเผยแพร่ในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง และได้อธิบายให้ฟังว่าการปะทะกันของทหารเกิดขึ้นจากการที่ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในอำนาจอธิปไตยของไทย โดยการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ ซึ่งในช่วงแรกไทยไม่ได้ตอบโต้โดยการใช้กำลัง แต่ใช้วิธีปิดพรมแดนเพื่อไม่ให้ปัญหาทุ่นระเบิดขยายตัวไปถึงพลเรือน แต่ฝ่ายกัมพูชากลับมาโจมตีไทยก่อนจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการทางทหารโดยการจำกัดวงตามกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งรองข้าหลวงใหญ่ฯ ก็เข้าใจ ซึ่งสิ่งที่ตนได้ย้ำเพิ่มเติมคือการใช้โซเชียลมีเดียโจมตีไทยในหลายเรื่อง รวมทั้งการละเมิดกฏหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศโดยการใช้โล่มนุษย์ ให้พลเรือนมากดดันปฏิบัติการทางทหาร ไทยมีเขตพื้นที่ทางทหารอย่างชัดเจนโดยไม่ได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงใดๆ
ทั้งนี้การพูดคุยเป็นสัญญาณบวก เพราะทำให้รองข้าหลวงใหญ่เข้าใจมากขึ้น ในหลายๆ เรื่อง ทั้งที่อยู่ในข่าว รวมทั้งเรื่องที่กัมพูชาใช้โซเชี่ยลมีเดีย ในการดึงเอาแรงงานกัมพูชากลับไป ซึ่งก็เราก็ให้เขากลับ แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเขากลับไปแล้วไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ ซึ่งคนเหล่านี้ เดิมอยู่ในระบบแรงงานที่ถูกต้องตามกฏหมาย พอหนีกลับมาอีกครั้งกลายเป็นแรงงานนอกระบบ

เมื่อถามว่านางนาดาได้ให้คำแนะนำอย่างไรบ้าง นายมาริษกล่าวว่า คำแนะนำอย่างเดียวคือให้ปฏิบัติไปตามกฎระเบียบของทั้งหมด และสนับสนุนในเรื่องของการพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยต้องหาทางไม่ให้ประชาชนของทั้งสองประเทศเข้าใจผิดระหว่างกัน ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และข้าหลวงใหญ่เองก็ออก แถลงการณ์ชัดเจนว่าไม่สนับสนุนการใช้โซเชียลมีเดียสร้างข้อมูลบิดเบือน และไม่สนับสนุนให้มีการใช้สงครามข่าวสาร ซึ่งตนได้ยืนยันว่าไทยปฏิบัติตามกฏหมายระหว่างประเทศมาโดยตลอด ขณะที่กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดทุกสิ่งทุกอย่าง
“รองข้าหลวงใหญ่ รับฟังอย่างเป็นกันเอง และมีท่าทีที่ ชัดเจนและเข้าใจ ในบริบทต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการดำเนินการตามมาตรการทางการทูต และด้านการต่างประเทศ ซึ่งจะมองถึงการแก้ไขปัญหาที่สร้างสรรค์อย่างสันติ ด้วยความจริงใจ”

