ปฏิบัติการ “120 วัน วาระพืชกระท่อม” ที่ขับเคลื่อนโดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ โดยนายธีรวิทธ์ เฑียมขโรจ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง ศอ.บต. ได้ออกมาระบุว่าความสำเร็จของภารกิจนี้ไม่ได้วัดแค่ยอดการจับกุม แต่คือการสร้างปรากฏการณ์แห่งความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อพลิกโฉมจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดอย่างยั่งยืน

นายธีรวิทธ์ กล่าวสรุปเป้าหมายหลักของปฏิบัติการนี้ว่า คือการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างครบวงจรและบูรณาการ โดยมีนโยบายสำคัญที่เด็ดขาด คือ การกำหนดให้ภายใน 120 วัน จะต้องไม่มีการค้าขายพืชกระท่อมบนถนนสายหลักทุกสาย ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหานี้เป็นอันดับต้น ๆ ตามที่ประชาชนในพื้นที่เรียกร้องมาโดยตลอด

นายธีรวิทธ์ ได้วิเคราะห์ถึงปัจจัยสู่ความสำเร็จของปฏิบัติการนี้ว่า ไม่ใช่แค่การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด แต่เป็นเพราะการปลุกพลังของภาคประชาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พลังจิตอาสา” และ “พลังของผู้นำศาสนา” ที่เข้ามามีบทบาทอย่างแข็งขันในการแก้ไขปัญหา พลังจากผู้นำศาสนา ในพื้นที่ได้ร่วมกันวินิจฉัยอย่างเป็นทางการว่าพืชกระท่อมเป็นสิ่งต้องห้ามตามหลักศาสนาอิสลาม หรือ “ฮะรอม” การประกาศจุดยืนนี้ทำให้เกิดแรงกดดันทางสังคมอย่างมหาศาล และทำให้ผู้ค้าไม่สามารถอยู่ในพื้นที่ได้

พลังจากชุมชน ความสำเร็จที่ยั่งยืนที่สุดคือการที่ชุมชนลุกขึ้นมาปฏิเสธยาเสพติดด้วยตัวเอง ซึ่งนายธีรวิทธ์ ยืนยันว่า “ความยั่งยืนสู้พลังชุมชนลุกขึ้นมาทำกันเองไม่ได้” สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อประชาชนร่วมมือกัน ความเข้มแข็งจากภายในจะกลายเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้กับยาเสพติด

นอกจากประเด็นเชิงนโยบายแล้ว รายงานยังชี้ให้เห็นถึงอันตรายที่หลายคนอาจมองข้าม โดยเฉพาะการนำพืชกระท่อมไปใช้ในทางที่ผิด ซึ่งแม้จะมีสรรพคุณทางยาอยู่บ้าง แต่การนำไปต้มในปริมาณมากจะทำให้เกิดสารสกัดเข้มข้นที่ส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน

มีรายงานพบผู้ป่วยวัยรุ่นบางรายที่ต้องเข้ารับการรักษาด้วยอาการไตวายเฉียบพลันจากการบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป การขับเคลื่อนของ ศอ.บต. ภายใต้การนำของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ จึงเป็นมากกว่าแค่การปราบปราม แต่คือการสร้างกระบวนการฟื้นฟูชุมชนและสร้างความตระหนักรู้ถึงภัยร้ายที่กำลังกัดกินสังคม ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้

