ศึก “ไทย-กัมพูชา” ตอกย้ำภาพคนในชาติแตกแยกเกินเยียวยา ลามสถาบันครอบครัวจนร้าวฉาน

978

ช่วงที่ไทยและกัมพูชาเปิดศึกสู้รบกัน “จอมมารน้อย” คาดหวังว่าจะได้เห็นคนไทยที่แตกแยกแบ่งสีแบ่งกลุ่มกันมากว่าสองทศวรรษคงปรองดองกันในยามที่ข้าศึกมาประชิดชายแดน

แต่พอท่องสื่อโซเชียล ไม่ว่าจะเฟซบุ๊ก ไลน์กลุ่ม ทวิตเตอร์ รวมถึงสื่อมวลชนกระแสหลัก ความคาดหวังมลายไปสิ้น เนื่องจากข้อความที่เจอยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าความแตกแยกของคนในชาติไปไกลเกินเยียวยาแล้ว เพราะความเชื่อได้ฝังรากลึกเข้าไปในจิตใจถึงขั้นยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อนั้นถูกต้อง โดยไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด

ขอตัวอย่างกรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพวกเสื้อเหลืองหรือสลิ่ม ห้วงเวลานั้นไม่ว่านายจตุพรจะพูดอะไร จะถูกต่อต้านแถมเยาะเย้ยถากถางว่าเป็นทาสรับใช้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ทั้งที่ข้อมูลที่นายจตุพรพูดหรือปราศรัยเป็นข้อเท็จจริงที่คนในสังคมสามารถตรวจสอบได้ แต่พอนายจตุพรเปลี่ยนจุดยืนแบบกลับหลังหันมายืนข้างกลุ่มเสื้อเหลือง ขึ้นเวทีเดียวกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) มีเสียงขานอย่างอบอุ่น บางคนถึงขั้นโพสต์ในสื่อโซเชียลว่าดีใจที่นายจตุพรตาสว่างเสียที ไม่หลงมัวเมาไปรับใช้นายทักษิณ

ขณะที่สมาชิกกลุ่มนปช.บางส่วนสาปส่ง จากที่เคยเชื่อคำพูดของนายจตุพร กลายมาเป็นดิสเครดิตว่านิยมชมชอบพวกอนุรักษ์นิยมที่นายจตุพรเคยจงเกลียดจงชังเมื่อครั้นปลุกม็อบให้คนเสื้อแดงลุกขึ้นสู้กับเผด็จการทหารและรัฐบาลที่อยู่ใต้ร่มเงาของเผด็จการ

ตัวอย่างที่ยกมาเพื่อสะท้อนว่าคนไทยที่คลั่งไคล้การเมืองและเฝ้าติดตามสถานการณ์การเมืองแบบเกาะติดนั้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนหรือสีไหน ต่างมีความเชื่อแบบฝังหัว เลือกที่จะฟังเฉพาะบุคคลหรือแกนนำหรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ตัวเองนิยมชมชอบและเชื่อเท่านั้น โดยไม่ได้ตรวจสอบว่าข้อมูลที่ถูกถ่ายทอดออกมานั้นมีความจริงอยู่กี่ส่วน

แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามที่ตัวเองรังเกียจจะพูดความจริงแค่ไหน จะไม่ยอมรับฟังแถมคอมเมนต์ในทำนองเยาะเย้ยเหน็บแนมอีกต่างหาก อย่างกรณีทีวีหลายช่องเชิญวิทยากรทั้งนักวิชาการและนักการเมืองไปออกรายการแสดงความเห็นทางการเมืองในประเด็นต่างๆ เลือกที่จะฟังหรือเชียร์บุคคลที่ตัวเองชอบ อย่างกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภา ที่อยู่ในขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญ รายการทีวีช่องหนึ่งเชิญนักวิชาการและนักการเมืองที่พยายามแปลงกายเป็นนักวิชาการ มาออกราย มีการถกเถียงกันค่อนข้างหนัก ถ้าฟังจบตลอดรายการ นักวิชาการให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือว่าคู่สนทนาที่ใช้เสียงตะโกนและไปแบบข้างๆ คู

เมื่อมีการนำความเห็นของทั้งสองแชร์ผ่านสื่อโซเชียลตามแพลตฟอร์มต่างๆ มีคอมเมนต์เชียร์ทั้งสองฝ่าย สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ว่าจะข้อมูลฝั่งตรงข้ามจะเด็ดแค่ไหน แต่ขอเลือกที่จะเชื่อฝั่งที่ตัวเองถือหางหรือกรณีเหตุการณ์ม็อบไปชุมนุมหน้ารัฐสภาเพื่อเรียกร้องให้ส.ส.มีมติยกเลิกเอ็มโอยู 43 และ 44 ระหว่างนั้นนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคประชาชน ออกมาขึ้นเวทีม็อบเพื่อรับเรื่อง ระหว่างที่นายรังสิมันต์กำลังปราศรัย สมาชิกม็อบแสดงความไม่พอใจตะโกนก่อกวนตลอดเวลา จนแกนนำม็อบบนเวทีต้องประกาศว่าพวกเราต้องให้เกียรติส.ส.ที่มารับเรื่องเพราะเขาจะเป็นตัวแทนขับเคลื่อนในเรื่องที่พวกเราเรียกร้องให้สำเร็จ สมาชิกม็อบจึงเลิกก่อกวนและอยู่ในอาการสงบ

ซึ่งเป็นตัวอย่างเลือกข้างที่จะเชื่ออย่างชัดเจน เพราะม็อบกลุ่มนี้กับพรรคประชาชน เสมือนขมิ้นกับปูนอยู่แล้ว​ ซึ่งความเห็นและความเชื่อที่แตกต่างนี้ได้ซึมลึกลงไปถึงสถาบันครอบครัวแล้ว จากเดิมที่สมาชิกในครอบครัวสามารถพูดคุยแสดงความเห็นกันได้ทุกเรื่อง แต่จากเหตุการณ์ความแตกแยกทางการเมืองที่ลากยาวมากว่าสองทศวรรษ ทำให้ความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัวเริ่มถอยห่าง

ยิ่งนำประเด็นการเมืองขึ้นมาพูดคุยกันคราวใด ความเห็นระหว่างพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลูกและหลาน จะขัดแย้งกันทันที เว้นแต่สมาชิกในครอบครัวนั้นๆ มีความคิดเห็นไปในแนวเดียวกัน แต่มีค่อนข้างน้อย ผลจากความเห็นขัดแย้งกัน ให้ความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัวถอยห่างออกไปเรื่อยๆ บางครั้งแม้นั่งรับประทานอาหารด้วยกัน แต่พอนำประเด็นการเมืองขึ้นมาพูดคุยกันคราใด ถ้าพ่อแม่จิตใจไม่เปิดกว้างพอ จะจบลงแบบต่างคนต่างอิ่มลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารไปนั่งคนละมุมดูคลิปจากโทรศัพท์มือถือที่ตัวเองชื่นชอบ บางคลิปนำเสนอความจริงไม่หมด บางคลิปนำเสนอข้อมูลเท็จ แต่ผู้เสพเชื่อโดยไม่คิดจะค้นหาข้อเท็จจริงซึ่งปรากฏการณ์นี้เชื่อว่าคงจะเกิดขึ้นอีกยาวนาน ครอบครัวไทยที่ได้ชื่อว่ามีบรรยากาศที่อบอุ่นที่สุด จะค่อยๆ จางหายไป

จากบริบทที่ยกมา ถ้าผู้กุมอำนาจทั้งหลายไม่คิดหาแนวทางแก้ไขแบบมีสรุปจบให้พอใจกันทั้งสองฝ่าย เชื่อว่าในอนาคตความแตกแยกในหมู่ประชาชนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งถ้าลามหนักไปถึงสถาบันครอบครัว โอกาสที่จะได้เห็นถึงความปรองดองเหมือนในอดีตคงลำบาก

จึงได้วิงวอนถึงประชาชนทั้งหลายว่าจะเชื่อถือหรือเลือกข้างที่จะเชื่อ โปรดใช้วิจารณญาณตรึกตรองให้ดี เพราะถ้าไม่พิจารณาวิเคราะห์ให้ดี จะตกเป็นเครื่องมือให้พวกนักการเมืองที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ทั้งสิ้น เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะพวกนักการเมืองจะฟัดกันยิ่งกว่าหมาแย่งชามข้าว จะจบแบบจูบปากกันดูดดื่ม !!!