เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงาน Kick Off “กาแฟไทย เติบโตไปกับป่า สร้างคุณค่าให้โลก” ภายใต้โครงการส่งเสริมและสร้างการรับรู้การผลิตกาแฟภาคเหนือตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยมี นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเกษตรกร เข้าร่วม ณ องค์การบริหารส่วนตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่

ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการสร้างองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในพื้นที่อำเภอแม่แจ่มและอำเภอแม่วาง จ.เชียงใหม่ เป็นพื้นที่นำร่องในการดำเนินโครงการฯ เพื่อยกระดับกลไกการผลิต การวิจัย การพัฒนา และการตลาดกาแฟไทยอย่างยั่งยืน

รมช.อัครา กล่าวว่า “กาแฟ” เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ ด้วยภูมิประเทศที่มีความเหมาะสม ทำให้เกิดกาแฟคุณภาพดี มีเอกลักษณ์ รสชาติและกลิ่นหอมเป็นที่ยอมรับในกลุ่มผู้ดื่มกาแฟ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร มีความตั้งใจที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ เสริมศักยภาพเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่สูง ให้มีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพ สามารถเข้าถึงตลาดและต่อยอดอาชีพเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการในอนาคต

นอกจากนี้ ยังได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาคีกว่า 36 หน่วยงาน โดยการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) การส่งเสริมการผลิตกาแฟคุณภาพ การวิจัย และพัฒนาตลอดห่วงโซ่อุปทานกาแฟ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนกาแฟไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

“การ Kick Off ในครั้งนี้ เป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมการผลิตกาแฟคุณภาพดี เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด โดยมีหน่วยงานหลักคือกรมส่งเสริมการเกษตรในการเดินหน้าสนับสนุนองค์ความรู้และต้นพันธุ์กาแฟพันธุ์ดีให้แก่เกษตรกรกว่า 66,900 ต้น และได้มอบนโยบายในการศึกษาแนวทางการตั้งศูนย์กาแฟชุมชน ตามโมเดลศูนย์ข้าวชุมชนของกรมการข้าว อีกทั้งยังได้มอบหมายทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการทั้งระบบการผลิต ตั้งแต่การพัฒนาดิน การพัฒนาแหล่งน้ำ และการหาตลาดสำหรับกระจายสินค้า เพื่อการขับเคลื่อนภารกิจอย่างเป็นรูปธรรมและขยายผลไปยังพื้นที่อื่นในอนาคตต่อไป” รมช.อัครา กล่าว

ด้านนายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ปริมาณการผลิตกาแฟ ในปีการผลิต 2567/68 ประเทศไทยสามารถผลิตกาแฟได้จำนวน 14,665 ตัน จากพื้นที่การผลิตจำนวน 119,607 ไร่ ให้ผลผลิต (สาร) จำนวน 10,606 ตัน คิดเป็นผลผลิตเฉลี่ย 89 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการบริโภคในปัจจุบันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

ดังนั้น การยกระดับกาแฟภาคเหนือทั้งระบบ ในกระบวนการเพาะปลูกที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม จึงเป็นโอกาสสำคัญของภาคเกษตร ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมกาแฟให้เติบโต เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม อีกทั้งยังเป็นการรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรในพื้นที่ ลดปัญหาการเผาป่าอีกด้วย

