“ถ้าไล่กันตามไทม์ไลน์การแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.)-ผู้บังคับการ (ผบก.) ต้องเสร็จสิ้นภายในสัปดาห์หน้าหรือภายในวันที่ 31 สิงหาคม ตามที่กฎคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ 2567 บัญญัติไว้“

ซึ่งบัญชีการแต่งตั้งฯ ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) หรือบอร์ดกลั่นกรองฯ ที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร. เป็นประธานเรียบร้อยแล้ว รอแค่ประธาน ก.ตร. เคาะวันเวลานัดเท่านั้น
แต่ไม่แน่ใจว่าระหว่างนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกฯ กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตาวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ใครจะมานั่งหัวโต๊ะ คงต้องลุ้นกันไป
แต่ขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับการพิจารณาโผโยกย้ายฯ เพราะนับแต่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ 2565 และกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งฯ 2567 บังคับใช้มากว่า 2 ปีแล้ว ซึ่งผลการแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บัญชาการ (รอง ผบช.) ขยับเป็น ผบช. และรอง ผบก. ขยับเป็น ผบก. กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างทั้งในแวดวงสีกากี ประชาชนและสื่อมวลชน ว่าทำไมตำรวจที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ไม่ได้รับการพิจารณาแต่งตั้ง พร้อมตั้งคำถามถึงผู้เกี่ยวข้องว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เกรงว่าตำรวจที่ตั้งใจทำงานจะเสียขวัญกำลังใจหรือ?
ในจังหวะนั้นจะได้ยินเสียงตอบทั้งจาก ผบ.ตร. และ ก.ตร. ว่าต้องยึดกฎหมายและกฎ ก.ตร. เป็นหลัก
เมื่อพลิกกฎหมายตำรวจ 2565 พบว่าบัญญัติเนื้อหาเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายไว้ค่อนข้างรัดกุมทั้งบทลงโทษผู้เกี่ยวข้อง และเปิดช่องให้ตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมร้องผ่านคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ได้ ตามมาตรา 87 บัญญัติว่าข้าราชการตำรวจผู้ใดเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการเรียงลำดับอาวุโสหรือในการแต่งตั้ง มีสิทธิร้องทุกข์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รับทราบคำสั่ง และให้ ก.พ.ค.ตร. พิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องทุกข์
คำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. ให้เป็นที่สิ้นสุด เว้นแต่กรณีผู้ร้องทุกข์ไม่พอใจผลการพิจารณาของ ก.พ.ค.ตร. มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งผลการพิจารณาของ ก.พ.ค.ตร.
นอกจากนี้ในกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการแต่งตั้งข้อที่ 26 ระบุว่าตามมาตรา 82 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 บัญญัติให้การพิจารณาคัดเลือกแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ให้พิจารณาจากผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้อยู่ในเกณฑ์ที่สมควรได้รับการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเท่านั้น โดยพิจารณาจากความรู้ความสามารถ เพื่อให้ผู้มีอำนาจได้มีข้อมูลสำหรับประกอบการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้อยู่ในเกณฑ์ที่สมควรได้รับการเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น และให้ผู้มีอำนาจได้พิจารณาคัดเลือกแต่งตั้งโดยเที่ยงธรรมและเป็นไปตามบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว จึงให้ผู้บังคับบัญชาที่อยู่ใกล้ชิดเป็นผู้จัดทำข้อมูลผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นแล้วเสนอตามลำดับชั้น
การจัดทำบัญชีตามข้อ 26 แบ่งเป็น 2 บัญชี คือ ให้จัดทำข้อมูลผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น และบัญชีผู้ไม่สมควรที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น และระบุอีกว่าสำหรับบัญชีผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น คณะกรรมการจัดทำข้อมูลต้องตรวจสอบคุณสมบัติ ความเหมาะสม และเรียงลำดับความรู้ความสามารถตามความเป็นจริง หากจัดทำข้อมูลไม่ตรงตามความเป็นจริงให้ถือเป็นความบกพร่องของคณะกรรมการหรือผู้บังคับบัญชานั้นด้วย
ที่ยกมาเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ถ้าพิจารณาเนื้อหาทั้งจากกฎหมายตำรวจฯ และกฎ ก.ตร.ทั้งหมด เพื่อหาช่องทางที่จะผลักดันให้กับตำรวจที่มีผลงานดีเด่น เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของประชาชน รวมถึงการยอมรับจากชาวสีกากีด้วยกัน จะพบว่าหาได้ยากมาก เพราะบัญชีผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นถูกส่งจากกองบัญชาการจัดทำในรูปแบบของคณะกรรมการฯ ถ้าคณะกรรมการฯ ลำเอียงเล่นพรรคเล่นพวกจะมีความผิดฐานบกพร่อง
อย่างกรณีโผที่ผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ไปแล้วมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เชิงตั้งข้อสังเกตจากสื่อกระแสหลักและสื่อโซเชียลที่ประชาชนมีอยู่ในมือว่า บัญชีผู้เหมาะสมที่เตรียมจะเสนอให้ ก.ตร. พิจารณา เหตุใดไม่มีชื่อ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ทั้งสองมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ประชาชนสัมผัสได้และให้เครดิตสูง พร้อมกับมีเสียงเรียกร้องให้ ก.ตร. ช่วยผลักดันด้วย
โดยให้เหตุผลว่านอกจากจะเป็นขวัญกำลังใจให้กับ พล.ต.ต.นพศิลป์ และ พล.ต.ต.จรูญเกียรติแล้ว ยังเป็นการปลุกขวัญให้กับตำรวจที่ทำงานแบบทุ่มสุดตัวได้เห็นอนาคตว่าถ้ามีผลงานเป็นที่ประจักษ์ อาวุโสจะเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น ผลดีจะตกกับสังคมและองค์กรตำรวจ
แต่เมื่อนำองค์ประกอบเกี่ยวกับคุณสมบัติต่างๆ มาจับ โดยเฉพาะหลักอาวุโสที่องค์กรตำรวจค่อนข้างให้ความสำคัญ พล.ต.ต.นพศิลป์ และ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เสียเปรียบทันที เพราะถ้าดูลำดับอาวุโสแล้ว พล.ต.ต.นพศิลป์ อยู่ลำดับที่ 51 และ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ อยู่ลำดับที่ 94
“ถ้า ก.ตร. จะผลักดันให้ พล.ต.ต.นพศิลป์ ผงาดติดยศ พล.ต.ท. คงทำได้ เพราะเท่าที่ติดตามข่าวจากสื่อที่นำเสนอเกี่ยวกับโผโยกย้ายที่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีชื่อรอง ผบช. บางคนอาวุโสน้อยกว่าพล.ต.ต.นพศิลป์ และแทบจะไม่มีผลงานสู่สายตาประชาชนเลย แต่กลับมีชื่อเป็นผู้เหมาะสมในตำแหน่ง ผบช.“
อย่างไรก็ตาม ถ้านำกฎกติกาเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้าย ทั้งจากกฎหมายตำรวจฯ และกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งฯ บังคับใช้ครบทุกวรรคและทุกมาตรา ผู้เกี่ยวข้องทั้งนายกรัฐมนตรี ผบ.ตร. และ ก.ตร. จะอยู่ในอาการ “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” แต่เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในอาการดังกล่าว ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายต้องกล้าที่หาช่องทางออกบ้าง มิฉะนั้นแล้วในอนาคตองค์กรตำรวจจะไร้ผู้บริหารมีมากด้วยฝีมือต่อไปในภายภาคหน้า แต่ถ้าประดู่แดงฟันธง ผบ.ตร. และคณะกรรมการ ก.ตร. ทั้งคณะคงจะกล้าหาช่องข้อกฎหมายสร้างความชอบธรรม เพื่อรักษาองค์กรตำรวจให้สง่างาม และสามารถตอบคำถามของสังคมที่กำลังจับตาถึงกรณีนี้ได้


