พปชร. ยันจะใช้ช่องทางสภายกเลิก MOU 2543–44 ชี้ทำไทยเสียเปรียบหนัก ลั่น ต้องเปลี่ยนตัวนายกฯ เป็นคนไม่ติดหนี้บุญคุณเขมร ให้ประเทศเดินหน้าได้

459

ที่รัฐสภา, วันที่21 ส.ค. เวลา 13.30 น. – ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ให้สัมภาษณ์หลังเป็นตัวแทนรับหนังสือร้องเรียนจากกลุ่มรวมพลังแผ่นดิน ปกป้องอธิปไตย และเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.)  เรียกร้องสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ยกเลิก MOU 2543–2544 ทำประเทศไทยเสียเปรียบกัมพูชา ว่า พปชร. ให้ความสำคัญกับเรื่องสนับสนุนให้ยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับเพราะทำให้ประเทศไทยเสียประโยชน์และเสียเปรียบ โดยจะนำกลับไปประชุมกับกรรมการบริหารพรรคเพื่อดำเนินการผ่านทางสภา ไม่ว่าเป็นการยื่นญัตติ หรือ อาจจะเป็นเสนอตั้งกรรมาธิการ ขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้ต่อไปในอนาคต มีรายละเอียดสำคัญที่ต้องคุย

ทั้งนี้ ม.ล.กรกสิวัฒน์ ระบุว่าต้นตอของความขัดแย้งมีรากเหง้ามาจากการทำสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในปี 1904 และ 1907 รวมถึงการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งไม่สอดคล้องกับภูมิประเทศจริงและไม่เคยได้รับการรับรองจากฝ่ายสยาม แต่กลับถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานประกอบจนก่อให้เกิดข้อพิพาทด้านพรมแดนอย่างต่อเนื่อง

พปชร.มีจุดยืนชัดเจนว่า ประเทศไทยควรยกเลิก MOU 2543 และ 2544 โดยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยเสียเปรียบอีกต่อไป พร้อมเสนอให้ใช้กฎหมายสากลระหว่างประเทศเท่านั้นเป็นกรอบการเจรจาเส้นเขตแดนทางทะเล เช่นเดียวกับที่ไทยเคยดำเนินการกับเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย ส่วนกรณีเขตแดนทางบก ควรยึดตามแนวหน้าผาจากช่องบกถึงช่องสะงำและจากช่องสะงำถึงจังหวัดตราดใช้หลักเขตที่ 1–73 ที่สยามและฝรั่งเศสเคยทำไว้ และหากมีการเจรจาเขตแดนในอนาคต ควรนำสนธิสัญญาสันติภาพโตเกียว ซึ่งระบุว่าจังหวัดพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณเป็นของสยาม มาใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประกอบการเจรจาด้วย

ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า เชื่อว่าจะมีบางพรรคการเมืองอาจไม่เห็นด้วยให้ยกเลิก แต่พรรคพลังประชารัฐ มีหลักฐานเพียงพอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ MOU ทั้ง 2 ฉบับ ทั้งเรื่องแผนที่เขตแดน 1:200,000 และเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ที่กัมพูชาขีดเส้นขึ้นมาผ่านเกาะกูดเอง ซึ่งผิดกฎหมายสากล และไม่เป็นไปตามพระบรมราชโองการ ในหลวง ร.9 ย้ำ พื้นที่ทับซ้อนใน MOU 2544 ไม่มีอยู่จริง หากประเทศไทยไปรับรู้ ก็จะเสียประโยชน์และเสียเปรียบ เพราะพื้นที่อ่าวไทยมีทรัพยากรธรรมชาติ คือ น้ำมันและแก๊สธรรมชาติ มูลค่าประมาณ 20 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นของปวงชนชาวไทย ทำให้ต้องรีบดำเนินการยกเลิกตามกลไก ขั้นตอนของสภาต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้ นส.แพรทองธาร ชินวัตร ไปศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อไต่สวน คดีคลิปเสียง “ฮุนเซน” หลุด มีอะไรจะบอกหรือไม่  ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า ความขัดแย้งที่มันประทุขึ้น ตั้งข้อสังเกต ผู้นำและรัฐบาลมีความเกี่ยวข้องเป็นหนี้บุญคุณกับทางกัมพูชาหรือไม่ เพราะตั้งแต่เป็นรัฐบาลมา กัมพูชาก็ไม่เคยมีความเกรงใจเราเลย การตัดสินใจหลายอย่างของรัฐบาลดูเชื่องช้าไม่ทันเหตุการณ์ ไม่จริงจังเหมือนทหาร เหมือนกับฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายทหารทำงานไม่ค่อยสอดคล้องกันเท่าไหร่ ต้องให้ทหารเป็นผู้ดำเนินการ  ดังนั้นทางที่เป็นไปได้ที่สุดต้องปรับเปลี่ยนรัฐบาล ปรับเปลี่ยนผู้นำประเทศที่ไม่มีหนี้บุญคุณอะไรกับทางฝั่งกัมพูชา ใครที่รู้ตัวก็ควรถอยออกจากการเมืองเสีย เชื่อว่าจะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้

“กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์คนอยู่แล้ว ที่ผ่านมาหลายเดือน ที่ท่านดูแลประเทศ ดูแล้วความอ่อนแอในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศเอง เศรษฐกิจระหว่างประเทศเอง เป็นข้ออ่อนแอของรัฐบาลอยู่แล้ว จริงๆถ้าคำนึงถึงประเทศชาติต้องเดินหน้า ผมพูดตรงไปตรงมา ด้วยค้วยความเคารพ ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงตัวนายกรัฐมนตรีแล้วครับ” ม.ล.กรกสิวัฒน์