“ในที่สุดนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ก่อน 30 สิงหาคมนี้ เพื่อพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายระดับ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) – ผู้บังคับการ (ผบก.) ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี แทน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตาวันที่ 29 สิงหาคม ปมคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา“

ซึ่งโผแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจ ได้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) หรือบอร์ดกลั่นกรอง ที่มี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร. เป็นประธานฯ เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม
ระดับผู้ช่วย ผบ.ตร. ขยับเป็น รอง ผบ.ตร. หรือเทียบเท่า ยึดหลักอาวุโสร้อยเปอร์เซ็นต์ มีว่าง 2 ตำแหน่ง โดย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. อาวุโสอันดับ 1 ขยับขึ้น ส่วนอาวุโสอันดับ 2 พล.ต.ท.นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ อยู่ระหว่างถูกตั้งกรรมการสอบสวน กรณีแพทยสภามีมติให้พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาเวชกรรม ปมชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ บอร์ดกลั่นกรองคงเห็นชอบ พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะทรัพย์ รอง จตช. อาวุโสอันดับ 3 ขึ้นแทน
ระดับผู้บัญชาการ (ผบช.) ขยับเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. ว่าง 7 ตำแหน่ง ยึดหลักอาวุโสแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกัน แต่ พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.ภ.7 อาวุโสอันดับ 3 ยื่นเออรี่ฯ และ พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ พตร. อาวุโสอันดับ 6 อยู่ระหว่างถูกตั้งกรรมการสอบสวน กรณีแพทยสภามีมติให้พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาเวชกรรม อาจจะไม่ได้ขยับขึ้น
ผบช.ที่คาดว่าจะขยับขึ้น ประกอบด้วย พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ท.อนุชา รมยะนันทน์ ผบช.สนง.ก.ตร. พล.ต.ท.อุดร ยอมเจริญ ผบช.ส. พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. และ พล.ต.ท.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ จตร.
ระดับ รอง ผบช. ขยับขึ้นเป็น ผบช. กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งฯ ให้ยึดหลักเรียงตามลำดับอาวุโส 50 เปอร์เซ็นต์ อีก 50 เปอร์เซ็นต์ยึดหลักความรู้ความสามารถประกอบกับหลักเกณฑ์ครองตำแหน่ง คาดว่าตำแหน่ง ผบช. ที่เกษียณและยื่นเออรี่ฯ ว่างรวม 18 ตำแหน่ง
นับแต่กฎหมายตำรวจ ปี 2565 ผนวกกับกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ปี 2567 บังคับใช้ การแต่งตั้งระดับ รอง ผบช. ขยับเป็น ผบช. และ รอง ผบก. ขยับเป็น ผบก. ผลการพิจารณาที่ผ่านความเห็นชอบของ ก.ตร. ออกมาแล้ว มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากแวดวงตำรวจ รวมถึงสื่อโซเชียลและสื่อกระแสหลัก ในลักษณะตั้งคำถามว่าทำไมตำรวจที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ประชาชนต่างยอมรับ ไม่ผ่านการพิจารณาให้ขยับสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ทั้งที่กฎหมายเปิดช่องให้ดำเนินการได้
อย่างปีที่ผ่านมามีการตั้งข้อสังเกตจากสังคมและสื่อโซเชียลว่าทำไม พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) มีผลงานด้วยการนำทีมสืบสวนนครบาล มี พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ หรือผู้การจ๋อ นั่งกุมบังเหียนตำแหน่ง ผบก.สส.บช.น. คลี่คลายคดีสำคัญๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในนครบาลและต่างจังหวัดที่ผู้ต้องหาหลบหนีมากบดานในกรุงเทพฯ จนเป็นที่กล่าวขานของสังคมเป็นวงกว้าง ไม่ได้ขยับ
ยิ่งส่องผลงานของ พล.ต.ต.นพศิลป์ จะพบว่าเป็นนักสืบชั้นครูของ ตร. ยุค 5G นำทีมคลี่คลายคดีดังหลายคดีจนได้ฉายาว่า ”เชอร์ล็อกนพ” อาทิ คลี่คลายคดีเน็ตไอดอลสาวชาวจีนหายตัวอย่างลึกลับ กระทั่งพบเป็นศพฝังดิน สืบสวนจนจับคนร้ายเป็นคนชาติเดียวกันได้หลังหนีไปกบดานที่ฮ่องกง
หรือคดี 6 ศพ เป็นชาวเวียดนาม 4 ศพ ชาวอเมริกัน 2 ศพ ถูกวางยาพิษดับในโรงแรมหรูกลางกรุง หลังพบศพมีการตั้งข้อสังเกตที่หลากหลายเสมือนท้าทายฝีมือการสืบสวนของตำรวจ แต่ พล.ต.ต.นพศิลป์ สามารถนำทีมคลี่คลายคดีได้อย่างกระจ่างว่าเป็นการวางยาพิษฆ่ากันเอง เป็นต้น
ด้วยประสบการณ์ที่คร่ำหวอดอยู่ในงานสืบสวนมากว่า 20 ปี พล.ต.ต.นพศิลป์ มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนผลิตนักสืบรุ่นใหม่ทำงานสืบสวนให้กับ ตร. เป็นจำนวนมาก บรรดานักสืบยุคปัจจุบันต่างเรียก พล.ต.ต.นพศิลป์ ว่าครูสืบสวน ด้วยความเคารพในความสามารถอย่างเต็มปากเต็มคำ
แต่การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้มีข่าวสะพัดว่า พล.ต.ต.นพศิลป์ มิได้ถูกเสนอชื่อแคนดิเดตตำแหน่ง ผบช. ทั้งที่คุณสมบัติด้านสืบสวนและปราบปราม และประชาชนให้การยอมรับ
ดังนั้นการประชุม ก.ตร. ก่อน 30 สิงหาคมนี้ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับตำรวจที่มีความตั้งใจในการทำงาน เป็นแม่เหล็กงานสืบสวนอย่าง พล.ต.ต.นพศิลป์ ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิและโดยตำแหน่ง ต้องหยิบชื่อ พล.ต.ต.นพศิลป์ ขึ้นหารือถึงผลงานและความเหมาะสม โดยมีกฎหมายตำรวจและกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการแต่งตั้ง เปิดช่องไว้ โดยผลักดันให้ขยับติดยศ พล.ต.ท. เพื่อเป็นตัวหลักสำคัญปั้นนักสืบรุ่นใหม่ที่ ตร. กำลังขาดแคลน จะช่วยเสริมทัพให้ ตร. แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ถ้า ก.ตร. ทำได้สำเร็จ เสมือนการปลุกขวัญให้ตำรวจที่ตั้งใจทำงานแบบทุ่มสุดตัวได้เห็นอนาคตที่สดใส แบบไม่ต้องนั่งนับวันนับเดือนนับปีเพื่อได้อาวุโส และที่สำคัญจะไม่ได้ยินคำถามจากสังคมอีกว่าทำไม ”พล.ต.ต.นพศิลป์” ถึงไม่ได้ขยับเป็น ผบช. เหมือนปีที่ผ่านมา!!! ก.ตร. ต้องตอบให้ได้ว่า รองท่านอื่นๆ เก่งกว่า รองฯนพ ตรงไหน.?


