“มาริษ” พาคณะทูตขึ้นภูมะเขือดูทุ่นระเบิดกัมพูชา พร้อมนำเยี่ยมบ้านเรือน ปชช. เหยื่อระเบิดเขมร เสนอภาคีออตตาวาทบทวนเงินช่วยเหลือโครงการเก็บกู้ เหตุ กพช.ละเมิดอนุสัญญา

559

ศรีสะเกษ, วันที่ 16 ส.ค. – นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ นำคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน และรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา รวมถึงองค์กรระหว่งประเทศ จำนวน 33 ประเทศ เดินทางไปยังหน่วยปฏิบัติการณ์ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยพบทุ่นระเบิดสังหารจริง เพื่อเยี่ยมชมการปฏิบัติงานเก็บกู้ และการตรวจยึดทุ่นระเบิดรวมถึงยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ที่พบในพื้นที่ โดยมีสื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์ผลการเก็บกู้ และการยึดอาวุธ

เจ้าหน้าที่จากกองพลทหารช่างที่ 4 กองพลทหารราบที่ 4 กองทัพภาคที่ 3 ได้รายงานสรุปผลการปฏิบัติงานว่า ที่ผ่านมาสามารถเก็บกู้ และตรวจยึดทุ่นระเบิดสังหารบุคคลได้ทั้งสิ้น 46 ทุ่น โดยในจำนวนนี้มี 16 ทุ่น และอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และยังพบทุ่นระเบิดดักรถถัง ลูกจรวด RPG และลูกระเบิดขนาด 60 และ 82 มม. ซึ่งแม้จะมีการประกาศหยุดยิงระหว่าง 2 ประเทศมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ทหารไทย ยังคงตรวจค้นในเขตพื้นที่ประเทศไทยและยังคงพบทุ่นระเบิดและยุทโธปกรณ์ของฝ่ายกัมพูชาเป็นระยะ

เจ้าหน้าที่ทหาร ยังระบุว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ตรวจพบส่วนใหญ่ จะถูกฝังอยู่ไม่ลึกจากพื้นดิน และอำพรางด้วยดินและเศษใบไม้ ซึ่งอุปกรณ์ตรวจจับโลหะเป็นเครื่องมือหลักที่ใช้ในการค้นหา ส่วนความเสียหายที่เกิด จะแตกต่างกันไป และขึ้นอยู่กับชนิดของรองเท้าที่สวมใส่ พร้อมยืนยันด้วยว่า ยุทโธปกรณ์ที่ตรวจยึดได้ แม้บางส่วนจะดูเก่า แต่ไม่ใช่เป็นอาวุธรุ่นโบราณ เพียงแต่มีสภาพทรุดโทรมจากการเก็บรักษาที่ไม่ดี

ซึ่งคณะทูตานุทูต ส่วนหนึ่งได้สอบถามเจ้าหน้าที่ ทั้งสถานที่ที่ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อานุภาพของทุ่นระเบิด และประเทศที่ผลิตทุ่นระเบิดดังกล่าว ช่วงท้ายของการเยี่ยมชม เจ้าหน้าที่ทหารเรือ ยังได้สาธิตวิธีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้คณะผู้สังเกตการณ์ได้รับชมด้วย

จากนั้นนายมาริษได้พาคณะทูตไปยังตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ เพื่อสำรวจบ้านเรือนของประชาชน ในที่ได้รับผลกระทบจากจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ที่ไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งที่จุดดังกล่าว อยู่ห่างจากพื้นที่ชายแดนประมาณ 5 กิโลเมตร แต่เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกลูกระเบิดตกมากที่สุด มีบ้านเรือนได้รับความเสียหายจำนวนมาก แต่เนื่องจากมีการอพยพประชาชนไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว เพราะกัมพูชาได้มีการโจมตีในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ก่อน จึงมีผู้ได้รับบาดเจ็บน้อย สามารถรักษาชีวิตของประชาชนไว้ได้ ปัจจุบันชาวบ้านได้กลับเข้าพักที่อาศัย แต่บ้านเรือนที่เสียหายบางหลัง ก็ยังไม่สามารถเข้าพักอาศัยได้ ทำให้บางส่วนยังต้องไปพำนักอยู่กับญาติ

ทั้งนี้นายมาริษ กล่าวว่า หวังว่าการเดินทางมายังสถานที่จริงครั้งนี้ จะทำให้คณะทูตานุทูตทุกคน มีความเข้าใจปัญหาทุ่นระเบิดสังหารบุคคลซึ่งในช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้เกิดขึ้น 5 ครั้งแล้ว ทำให้ทหารไทยต้องสูญเสียขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะผิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และอนุสัญญาออตตาวา ทั้งนี้ปัญหาทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามเย็น และไทยได้ขอให้กัมพูชาร่วมกันเก็บกู้ ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และอนุสัญญาออตตาวา

โดยนายมาริษได้เสนอให้ทบทวนโครงการกู้ทุ่นระเบิดใหม่ เนื่องจากมีหลายประเทศในภาคีให้ความช่วยเหลือบริจาคเงิให้กัมพูชา แต่เหตุการณ์ที่เพื่งเกิดเป็นการฝังทุ่นระเบิดใหม่ในดินแดนไทย ถือเป็นการละเมิดพื้นที่และกฎหมายสากล แสดงว่ากัมพูชาไม่ให้ความร่วมมือตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ซึ่งอยากให้กัมพูชาเคารพอนุสัญญาออตตาวา รวมถึงแสดงความจริงใจเพื่อลดความตึงเครียดในบริเวณชายแดน เพราะหากยังมีกรณีการเหยียบทุ่นระเบิด สถานการณ์ก็จะแย่ลง

รวม.กต. ย้ำอีกว่า รัฐบาลไทยยึดมั่นในกฎหมายสากล และอนุสัญญาออตตาวา โดยไทยจะยึดมั่นในหลักการ แม้กัมพูชายังไม่มีความพร้อม และไทยพร้อมทำงานร่วมกับทุกประเทศที่เป็นพันธมิตร เพื่อปฏิบัติการกู้ระเบิด เพราะเป็นภารกิจเพื่อมนุษยชน 

ต่อข้อถามว่ารัฐบาลไทยกังวลจะแพ้สงครามข่าวสารจากกัมพูชาหรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า รัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศสื่อสารผ่านช่องทางทางการ และโซเชียลมีเดีย แต่การใช้โซเชียลมีเดียอาจมีการเผยแพร่ข่าวปลอม ยิ่งจะทำให้เกิดความขัดแย้ง และความยากลำบากของทั้ง 2 ประเทศ เพราะโซเชียลมีเดียไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นรัฐบาลไทยจะสื่อสารผ่านช่องทางที่เป็นทางการเท่านั้น

ส่วนกรณีที่กัมพูชาพยายามนำเรื่องนี้ไปสู่ศาลโลก แต่ไทยไม่เห็นด้วยนั้น นายมาริษ ชี้แจงว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 118 ประเทศ ที่ไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลก และเชื่อว่าปัญหาเริ่มต้นจาก 2 ประเทศ ก็ต้องจบที่ 2 ประเทศ การไปขึ้นศาลโลกไม่ได้แสดงความจริงใจในการเจรจา และไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากลำบากที่มีด้วยกัน เหมือนพี่น้องไปขึ้นศาลด้วยกัน ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในใจได้

ด้านพลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวเสริมถึงสต็อกทุ่นระเบิดสั่งหารของฝั่งกัมพูชาว่า เป็นทุ่นระเบิดสังหารที่เป็นสต๊อกใหม่ของกัมพูชา ซึ่งพบทั้งในพื้นที่ที่เคลียร์ไปแล้ว และยังไม่ได้เคลียร์ รวมถึงยังถูกฝังในเขตแดนไทย แต่ยืนยันว่า ประเทศไทย ได้เคลียร์ทุ่นระเบิดสังหารไปหมดแล้ว