“สส.พิมพ์กาญจน์” เสนอ 8 มาตรการเร่งด่วน ฟื้นฟูเยียวยาจิตใจเด็กชายแดน แนะตั้งศูนย์เฉพาะกิจดูแล ชี้ควรเร่งให้สวัสดิการ-ขวัญกำลังใจครู ในฐานะหน้าด่านปกป้อง นร.

844

กรุงเทพฯ, วันที่ 10 ส.ค. – พิมพ์กาญจน์ กีรติวิราปกรณ์ สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน และโฆษก กมธ.ศึกษา เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเยียวยา ฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทำให้เด็ก ๆ ต้องหยุดเรียนกลางคัน และต้องออกจากบ้านมาอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงเป็นเวลาหลายวัน จากการเดินทางไปยังศูนย์อพยพหลายแห่งพบว่า วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปแบบเฉียบพลันเช่นนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพจิตใจของเด็ก จึงได้เสนอแนะ 8 มาตรการเยียวยาให้รัฐบาลพิจารณา

อันดับแรก สนับสนุนการเยียวยาเชิงจิตใจ ซึ่งการเยียวยาในเรื่องของทรัพย์สินหรือโครงสร้างพื้นฐานยังต้องทำ แต่การเยียวยาจิตใจการรับฟัง พูดคุย ทำกิจกรรมร่วมกัน การสร้างพื้นที่ที่เป็นมิตรต่อเด็ก จะช่วยเยียวยาให้บาดแผลแห่งความบอบช้ำให้จางลง และช่วยให้เด็ก ๆ สามารถพบกับความไร้เดียงสาของวัยเด็กอีกครั้ง รัฐบาลควรทำให้กิจวัตรประจำวันของเด็กคล้ายปกติที่สุด มิเช่นนั้นเด็กอาจนึกถึงแต่เหตุการณ์วนซ้ำซึ่งสุดท้ายมีแต่จะเสียสุขภาพจิต พัฒนาการชะงักงัน ส่งผลต่อการเรียนรู้ พฤติกรรม​และอารมณ์ในระยะยาว

พิมพ์กาญจน์ กล่าวว่า 2.เร่งดูแลสวัสดิการ สภาพจิตใจของครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกสังกัดที่อยู่แนวหน้า พวกเขาคือกำลังสำคัญในการประคับประคองจิตใจเด็ก ๆ ในช่วงเวลาแห่งวิกฤตเช่นนี้ ทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้สอน ผู้ปกป้อง​และผู้ปลอบขวัญ 3.รัฐบาลควรส่งเสริม เปิดพื้นที่ให้องค์กรภาคประชาชนและองค์กรระหว่างประเทศ ที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลเด็กในพื้นที่ความขัดแย้งเข้ามาร่วมกันทำงานที่สำคัญนี้อย่างไม่มีการปิดกั้น 4.ยืนหยัดในหลักสิทธิมนุษยชนสากล และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่แล้ว ว่าเด็กทุกคนมีสิทธิในชีวิต ความปลอดภัย และการศึกษา ไม่ว่าเขาจะอยู่ในพื้นที่ใดของประเทศ

สส.พรรคประชาชน กล่าวว่า 5.เร่งจัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานด้านเด็กเยาวชน และครอบครัว ในภาวะวิกฤต” เพื่อเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจที่รวบรวมข้อมูลให้คำปรึกษา ประสานการอพยพและการกลับเข้ามาในพื้นที่ และติดตามผลกระทบด้านร่างกายและจิตใจของเด็กในพื้นที่ความขัดแย้ง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว 6.บูรณาการหลักสูตร “การศึกษาในภาวะฉุกเฉิน (Education in Emergencies)” สำหรับโรงเรียนชายแดน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ครูและนักเรียนสามารถเรียนรู้ต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติ และเสริมทักษะชีวิต เช่น ทักษะการจัดการความเครียดในช่วงวิกฤตเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร​

โฆษฏ กมธ.ศึกษา กล่าวว่า 7. ฝึกอบรมครูและผู้ปกครองเรื่อง “การสื่อสารกับเด็กในภาวะวิกฤติ” ให้มีความรู้ ความเข้าใจ และแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม เมื่อต้องปลอบขวัญเด็กหลังเผชิญเสียงปืน เสียงระเบิด หรือเหตุอพยพ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เหตุการณ์เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพื่อให้ผู้ใหญ่รอบตัวเด็กสามารถสร้าง “พื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์” ขึ้นมาได้ในทุกสถานการณ์​ 8.ส่งเสริมบทบาทของ “สื่อเพื่อการเยียวยา” (Therapeutic Media) และ “สื่อสร้างความเข้าใจ” (Peace Media) รัฐบาลควรสนับสนุนการผลิตสื่อที่เหมาะสมกับวัย เพื่อให้เด็กเข้าใจสถานการณ์ความขัดแย้งโดยไม่สร้างความหวาดกลัว เช่น ในรูปแบบของการ์ตูน นิทาน หรือคลิปวิดีโออธิบายสถานการณ์ด้วยภาษาที่อ่อนโยน รวมถึงจัดทำสื่อแนะนำแนวทางการพูดคุย ปลอบขวัญ และดูแลสุขภาพจิตเด็ก สำหรับผู้ปกครองและครู

“นี่เป็นโอกาสที่ดีค่ะ ที่เราจะได้สนับสนุนสื่อที่ลดความขัดแย้ง และใช้บทบาทของสื่อที่เข้าถึงเด็ก เยาวชน และประชาชนได้ง่าย ในการสร้างความตระหนักรู้ ส่งเสริมสันติภาพ เพื่อลดความรุนแรงและความเกลียดชังลง และหากเราส่งเสริม และปลูกฝังความเข้าใจเรื่องความขัดแย้งได้มากพอ ทำให้เด็กและเยาวชนรับรู้ว่าเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้ว เกิดจากการตัดสินใจของผู้นำในเมืองหลวง แต่ประชาชนล้วนเป็นผู้ได้รับผลกระทบ เป็นผู้เสียหายร่วมกันทั้งสิ้น หากการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านสันติภาพนี้เกิดขึ้นได้ จนสามารถเดินหน้าสู่การเจรจา สร้างกลไกความร่วมมือชายแดนระหว่างประเทศที่ยั่งยืนได้สำเร็จ แนวชายแดนของเราก็จะไม่ใช่พื้นที่แห่งความกลัว แต่เป็นแนวร่วมของสันติภาพและการอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย” พิมพ์กาญจน์ กล่าว