“ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ในทางที่ไม่ขัดต่อศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม และกฎหมายบ้านเมือง” เป็นวาทะของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ที่ตำรวจต่างยึดถือและปฏิบัติมายาวนาน แต่ช่วงที่เผด็จการครองอำนาจ บางจังหวะถูกตัดตอนมาปฏิบัติ เพียงแค่ “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้….” ข้อความต่อท้ายไปอย่างไร ตำรวจน้ำดี ตำรวจอาชีพ ต่างทราบกันดีว่าจะต้องต่อท้ายด้วยคำว่าอะไรหรือประโยคอะไร

เมื่อมาถึงยุคที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ กุมบังเหียนสำนักสีกากี วาทะเด็ดของ พล.ต.อ.เผ่า ถูกนำมาปฏิบัติอย่างครบถ้วนกระบวนความแม้ช่วงที่รับตำแหน่งใหม่ ๆ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ จะเจอวิกฤตศรัทธาที่ไม่ได้ก่อ แต่ด้วยศักยภาพในเชิงบริหาร สามารถฝ่ามรสุมกอบกู้วิกฤตศรัทธากลับคืนมาได้ ประชาชนให้ความเชื่อถือมากขึ้น ตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการบริหารงานบุคคลที่ล้มเหลวช่วงเผด็จทหารเรืองอำนาจ ได้รับการเยียวยาและมีขวัญกำลังใจในการทำงานมากขึ้น
ยิ่งจังหวะนี้สถานการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยปกติ องค์กรของรัฐ รวมถึงองค์กรอิสระหลาย ๆ องค์กร ประชาชนขาดความเชื่อถือ ถึงขั้นไม่อาจพึ่งพาได้ ตำรวจกลายเป็นองค์กรระดับต้น ๆ ที่ประชาชนต่างให้ความเชื่อถือ เพราะสามารถแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะการปราบยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งพนันออนไลน์ แก๊งจีนเทา และแก๊งเงินกู้นอกระบบ เป็นต้น
แต่ที่ต้องยกเครดิตให้แบบเต็ม ๆ และไม่เคยมีผู้นำสีกากียุคไหนดำเนินการมาก่อน นั่นคือการเข้าไปจัดการกับพวกที่ใช้ความเป็นพระสงฆ์แสวงหาผลประโยชน์ นำมาปรนเปรอความสุขส่วนตัว ทั้งเสพเมถุน เสพยา เล่นพนันออนไลน์ ใช้ผ้าเหลืองเป็นเกราะป้องกันหนีคดีความ และเป็นตัวผ่านการฟอกเงิน พระที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่เป็นพระชั้นผู้ใหญ่และมีสมณศักดิ์
นอกจากเดินหน้าสืบสวนสอบสวนเอาผิดกับพระที่เกี่ยวพันกับสีกากีและแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบแล้ว ตำรวจได้เปิดปฏิบัติการ “ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา” ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง ในฐานะรองประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนา พร้อมด้วย “พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช” ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายบุญเชิด กิตติธรางกูร รองผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พล.ต.อ.ไกรบุญ บอกถึงผลปฏิบัติการว่า วางเป้าหมายไว้ 181 แห่งทั่วประเทศ มีเป้าหมายเป็นพระสงฆ์ 154 รูป พระที่ลาสิกขาไปแล้ว 27 คน จับได้แล้ว 154 คน ผู้ต้องหาส่วนใหญ่รับสารภาพ เนื่องจากดำเนินการตามหมายจับ บางรายยังไม่ยอมลาสิกขา ยังอาศัยผ้าเหลืองค้ำจุนให้กับตัวเอง“แต่ทางมหาเถรสมาคมได้ออกระเบียบและแก้ไขขั้นตอนระยะเวลาลาสิกขาจาก 3 ปี ลดเหลือ 10 วัน จึงดำเนินการลาสิกขาให้พระที่ทำผิดกฎหมายลาสิกขาทั้งหมด” พล.ต.อ.ไกรบุญ ระบุ และว่าภารกิจนี้ยังมีต่อเนื่อง จะประชุมระดับนโยบาย จัดทำข้อมูลวัดและพระสงฆ์ รวมถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในวัด ไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิต่าง ๆ ที่แอบแฝงแสวงหาผลประโยชน์จะถูกจัดการทั้งหมด และได้ทำข้อตกลงกับสำนักพระพุทธฯ ว่าถ้ามีพระสงฆ์ใน 1 จังหวัดทำผิดเกิน 3 รูป ต้องให้ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดนั้นต้องย้าย โดยใช้มาตรการเดียวกับตำรวจ
ผลการจับกุมที่น่าสนใจ คือ การจับกุมนายสุรัตน์ หรือพระสุรัตน์ พระลูกวัดหว่านบุญ ต.คลองหก อ.คลองหลวง ปทุมธานี บวชมากว่า 10 ปี ตรวจสอบพบว่ามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเพื่อฟอกเงินเกี่ยวกับยาเสพติด จับกุมได้ขณะบิณฑบาต
ปฏิบัติการ “ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา” จัดว่าเป็นปฏิบัติการที่ช่วยปัดกวาดให้วงการพระสงฆ์สะอาดขึ้น ที่สำคัญทำให้พุทธศาสนิกชนบริจาคทรัพย์บำรุงพระพุทธศาสนาเกิดความรู้สึกเบิกบานใจกว่าเดิม หากจะให้รู้สึกเบิกบานยิ่งขึ้น คดีความต่าง ๆ ที่มีพระชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวข้องต้องเร่งสะสางให้เห็นผลโดยเร็ว รวมถึงคดีเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุ ต้องกระจ่างแบบที่ไม่เอาผิดฆราวาสฝ่ายเดียว
ดังนั้นเมื่อมองถึงบทบาทตำรวจที่มีต่อพระพุทธศาสนา จัดว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติยุคนี้ได้ทำกุศลอันยิ่งใหญ่ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทั้งจัดการกับอลัชชี มารศาสนาในคราบผ้าเหลือง รวมถึงฆราวาสที่ใช้ศรัทธาของประชาชนเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง
“ประดู่แดง” ขอให้ตำรวจภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เดินหน้าสะสางจัดการกับมารศาสนาแบบรวดเร็ว เด็ดขาด และไม่เลือกปฏิบัติ ด้วยการยึดปฏิบัติตามวาทะที่ พล.ต.อ.เผ่า ให้ไว้ทุกกระบวนความ !!!


