“ในยุคที่การสื่อสารไร้พรมแดน ชาวบ้านทุกคนล้วนมีสื่ออยู่ในมือ ผลิตสื่อหรือสื่อสารข่าวต่าง ๆ ได้เองอย่างเสรี บางครั้งเลยเถิดไปละเมิดสิทธิผู้อื่น และบ่อยครั้งใช้ข้อมูลเท็จโจมตีผู้อื่นจนได้รับความเสียหาย“

บางคนบางกลุ่มผลิตข่าวปลอมใช้เป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยกในสังคม ดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อมูลเท็จ ทำให้ชาวบ้านที่รังเกียจกลุ่มคนเหล่านั้นอยู่แล้วยิ่งรังเกียจมากขึ้น ถึงขั้นไม่ฟังข้อเท็จจริง แม้ผู้ที่ถูกกล่าวหาจะใช้ข้อมูลหลักฐานชี้แจงก็ไร้ผล
ในช่วงสงครามไทย-กัมพูชา เกิดขบวนการผลิตข่าวปลอมแชร์ผ่านสื่อโซเชียลจำนวนมาก ถ้าข่าวปลอมชิ้นนั้นไปตรงกับความเชื่อของตัวเอง ก็จะถูกแชร์ไปสู่กลุ่มเพื่อน ๆ หรือกลุ่มต่าง ๆ ในเครือข่ายอย่างกว้างขวาง บางข่าวสร้างความเสียหายให้กับประเทศ กว่าโทรโข่งของรัฐจะขยับตัว สร้างความเสียหายให้กับประเทศเป็นวงกว้างแล้ว แถมไร้มาตรการที่จะจัดการกับบุคคลที่สร้างและปล่อยข่าวปลอม
ขอยกตัวอย่างบางตอนที่ น.ส. ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้รวบรวมและเผยแพร่ข่าวปลอมที่ถูกแชร์มากที่สุดในรอบสัปดาห์ จำนวน 10 ข่าว เป็นข่าวบิดเบือนที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่ ข่าวทหารไทยตัดศีรษะทหารกัมพูชา ข่าวทหารไทยเสียชีวิต 140 นาย ข่าวทหารไทยเสียชีวิต 40 นาย ถูกจับ 30 นาย
“ข่าวนอร์เวย์บริจาคเครื่องบินเอฟ-16 ให้ไทย ข่าวผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ประกาศพื้นที่ภัยพิบัติสงคราม ข่าวทหารไทยยึดคืนปราสาทพระวิหาร ข่าวไทยใช้อาวุธชีวภาพโจมตีกัมพูชา ข่าวเครื่องบินปล่อยสารพิษใส่พลเรือนกัมพูชา ข่าวแม่ทัพภาค 2 ระดมทุนช่วยแนวหน้า และข่าวปลัดกระทรวงกลาโหมสั่งงดช่วยผู้ป่วยกัมพูชา” น.ส. ศศิกานต์ระบุ และว่า ตรวจสอบแล้วเป็นการบิดเบือนข้อมูล เพื่อปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจผิดเป็นวงกว้าง อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
ในการแถลงของ น.ส. ศศิกานต์ ไม่ได้พูดถึงมาตรการที่รัฐบาลจะจัดการกับกลุ่มที่ผลิตข่าวปลอมนี้อย่างไร ทั้งที่ระบุว่าเป็นการปลุกปั่นและกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ทำได้เพียงขอความร่วมมือประชาชนร่วมกันหยุดวงจรข่าวปลอม อย่าแชร์ต่อหากไม่แน่ใจ
เมื่อข่าวปลอมทั้งสิบข่าวนี้กระทบต่อความมั่นคงของประเทศตามที่รองโฆษกรัฐบาลระบุ กระทรวงดีอีในฐานะผู้รับผิดชอบต้องเร่งสืบสวนสอบสวนหาผู้ผลิตข่าวปลอมแต่ละชิ้น แล้วจับกุมดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด แบบเชือดไก่ให้ลิงดู นอกจากจะช่วยยับยั้งกลุ่มบุคคลหรือบุคคลที่จ้องจะสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนได้ระดับหนึ่งแล้ว ยังช่วยให้พวกที่จ้องจะแชร์เพื่อเรียกยอดไลก์โดยไม่ดูข้อเท็จจริง จะได้ตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์ได้อีกด้วย ปรากฏว่าไร้เสียงตอบรับ เหมือนโทรศัพท์ที่ไม่มีสัญญาณ
สำหรับข่าวปลอมที่แชร์ในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา มีอยู่จำนวนมาก เกี่ยวพันทั้งแวดวงการเมือง ทั้งซีกรัฐบาลและฝ่ายค้าน รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียง แต่บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของข่าวปลอมกลับไม่คิดที่จะดำเนินการทางคดีแต่อย่างใด นอกจากคำชี้แจงเพียงว่าเป็นข่าวเท็จ ข้อมูลคลาดเคลื่อน
“การปล่อยผ่านในลักษณะนี้มิได้เกิดผลดีต่อสังคมและบุคคลที่ถูกพาดพิงแต่อย่างใด แถมจะทำให้ผู้เสพข่าวเข้าใจไขว้เขวว่าอาจจะเป็นเรื่องจริงก็เป็นได้ ที่สำคัญทำให้บุคคลหรือกลุ่มที่ผลิตข่าวปลอมย่ามใจ แล้วผลิตข่าวปลอมออกมาเขย่าสังคมได้ตลอดเวลา“
แม้ว่าผู้ที่ถูกกระทำจะปล่อยผ่าน ก็มีบางคนบางกลุ่มแจ้งความดำเนินคดีหรือฟ้องศาลเรียกค่าเสียหาย แต่พอบทสรุปสุดท้ายจบแบบขมา หรือทั้งขมาและชดใช้ค่าเสียหายให้ ส่งผลให้ผู้ก่อเหตุไม่เข็ดหลาบ แล้วกลับมาก่อเหตุดังเดิม ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมเป็นวงกว้าง ซึ่งในความจริงแล้วผู้ที่ตกเป็นเหยื่อแห่งการใส่ร้ายควรจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดการเลียนแบบ
จังหวะนี้ขอเชียร์ น.ส. ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หลานสาวนายทักษิณ ชินวัตร ขึ้น สน.คลองตัน แจ้งความเอาผิดกับกรณีที่มีบุคคลนำภาพไปโพสต์และพิมพ์ข้อความประกอบภาพใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จ กล่าวหาว่าเป็นไส้ศึกเขมร โดยโพสต์ทั้งในเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ พร้อมแชร์ในโซเชียลอย่างแพร่หลายต่อสาธารณะ ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวดองกับชาวเขมรแต่อย่างใด ขอใช้สิทธิ์ตามกฎหมายให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับบุคคลที่โพสต์ภาพข้อความที่ใส่ร้าย รวมถึงเอาผิดกับผู้ที่แชร์หรือส่งต่อโพสต์และข้อความ หรือร่วมแสดงความเห็นในโพสต์ดังกล่าวด้วย
นับจากนี้คงได้เห็นพนักงานสอบสวน สอบขยายผลหาผู้กระทำผิด มาดำเนินคดีและส่งฟ้องศาลได้อย่างแน่นอน เพื่อให้เป็นคดีตัวอย่างว่าผู้กระทำด้วยการใส่ร้ายผลิตข่าวปลอมต้องนอนคุก แต่ทั้งนี้ น.ส. ชยิกา ต้องไม่ใจอ่อนยอมรับขมา และผลแห่งคดีจะช่วยให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ถนัดการใส่ร้ายหรือผลิตข่าวปลอม จะรู้สึกเข็ดขยาดไปอีกนาน!!!


