”ประธาน ก.ตร.” ยังต้องรอลุ้น​ แต่ตั๋วนายพลว่อนสำนักสีกากี หวังงานเข้าเป้ามอบ ”ผบ.ตร.” จัดทัพเอง

1697

ถ้าดูไทม์ไลน์การแต่งตั้งโยกย้ายระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)-ผู้บังคับการ (ผบก.) ตามกฎคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ว่าด้วยการแต่งตั้งโยกย้ายว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ 2567 ตำแหน่ง ผบ.ตร. ทาง ก.ตร. พิจารณาให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 กรกฎาคม แต่ปีนี้ พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ยังนั่งตำแหน่งอีก 1 ปี

จึงข้ามไปที่ตำแหน่งรองผบ.ตร. และจเรตำรวจแห่งชาติถึงผบก. ให้ดำเนินการในห้วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นไป และ ก.ตร. พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคมของทุกปี

จังหวะนี้ยังต้องลุ้นว่าใครจะนั่งตำแหน่งประธาน ก.ตร. ระหว่างน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวจากพิษคลิปเสียงหลังไมค์ที่สมเด็จ ฮุน เซน นำมาออกปล่อย กับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นั่งรักษานายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ไปโดยปริยาย

หากก่อนถึงวันที่ 31 สิงหาคม ผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาเป็นคุณ น.ส.แพทองธาร ไปต่อได้ แต่ถ้าผลตรงข้ามคณะรัฐมนตรี (ครม.) ออกยกชุด สภาผู้แทนราษฎรจะสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ โอกาสที่การแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจอาจจะถูกลากยาวไปด้วย

แม้ว่าชาวสีกากียังต้องลุ้นว่าประธาน ก.ตร. จะเป็นใคร? แต่ความเคลื่อนไหวของบรรดาแคนดิเดตนายพลทุกนายมิได้หยุดนิ่ง เพราะมีข่าวสะพัดว่าการวิ่งเต้นเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งที่ต้องการยังคึกคักเหมือนทุกปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการวิ่งเต้นเพื่อขอตั๋วจากฝ่ายการเมืองซีกรัฐบาล จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมือง อำนาจโอกาสพลิกผันได้ตลอดเวลา นายตำรวจบางนายวิ่งเต้นแบบสองทางเข้าทั้งค่ายฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน

ขณะที่ฝ่ายการเมืองที่กุมอำนาจไม่น้อยหน้า เตรียมจัดโผนายพลระดับผู้บัญชาการ (ผบช.) และ ผบก. ที่คุมพื้นที่ เพื่อชิงความได้เปรียบในการตั้ง ส.ส. ที่อาจจะเกิดขึ้นปลายปีนี้หรืออีกปีกว่าๆ ส่งให้ผบ.ตร. ไปดำเนินการจัดวาง

ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวหากไม่เกิดสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา ข่าวจะปรากฏตามหน้าสื่อทุกประเภท นำเสนอทั้งรูปแบบรายงานข่าว บทวิเคราะห์ถึงสายสัมพันธ์ของนายตำรวจที่แคนดิเดตตำแหน่งสำคัญกับนักการเมืองหรือผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆ

ปีนี้ค่อนข้างเงียบ “ประดู่แดง” มองว่าไม่น่าจะเป็นผลดีต่อผบ.ตร. และนายตำรวจที่คุณสมบัติครบแต่ไร้ตั๋วหนุน เพราะถ้ามีเสียงของสื่อมวลชนค่อยกระตุ้น คอยวิพากษ์วิจารณ์ สามารถที่จะยับยั้งความต้องการของฝ่ายการเมืองและผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆ ได้ระดับหนึ่ง

ถ้ามองถึงความเป็นจริงของการบริหารงานบุคคล ผู้นำหน่วยย่อมจะรู้ว่าบุคคลากรคนไหนเหมาะที่จะนั่งในตำแหน่งไหน เมื่อจัดคนให้ถูกกับงานผลดีจะตกกับองค์กร สามารถขับเคลื่อนงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเป็นหน่วยงานรัฐ นอกจากจะสร้างขวัญและกำลังใจให้กับคนทำงานแล้ว งานจะออกมาดี ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างเต็มๆ

ดังนั้นในจังหวะที่รัฐบาลมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ อยู่ในภาวะขาลงแถมต้องคอยลุ้นว่า น.ส.แพทองธารจะได้ไปต่อหรือไม่? หรือจะต้องส่งนายชัยเกษม นิติสิริ มารับไม้ต่อ สิ่งที่จะเป็นตัวช่วยพยุงให้ไปต่อได้ดีคือผลงานของรัฐบาล

ซึ่งเครื่องมือที่จะช่วยสร้างผลงานได้แบบทันตาเห็น คงหนีไม่พ้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดยเฉพาะความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินรวมถึงปัญหาอาชญากรรมทุกประเภทที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ เพียงแค่รัฐบาลสั่งกำชับไปยังผบ.ตร. และ ผบช. ทุกนายเร่งดำเนินการปราบปราม พร้อมขีดเส้นภายใน 7-15 วัน จะเห็นผลได้ทันที

แต่ทั้งนี้นายภูมิธรรม ในฐานะรักษาการนายกฯ ต้องประกาศให้ชัดเจนว่าหากผลงานเป็นที่ประจักษ์ จะมีผลต่อการแต่งตั้งโยกย้ายนายพลที่กำลังจะเกิดขึ้น และให้อำนาจ ผบ.ตร. ในการพิจารณาจัดทัพสีกากีอย่างเต็มที่ หากฝ่ายการเมืองกดดัน พร้อมที่จะปกป้อง

ถ้านายภูมิธรรมกล้าพอที่จะประกาศตามที่กล่าวรับรองว่าผลงานของ ตร. จะไหลแบบพรั่งพรู และอาจจะได้นายตำรวจที่นั่งเกียร์ว่าง รอขยับสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเพราะอาวุโส กลับมาทำงานเพิ่มแน่นอน

เพราะถ้าอำนาจการจัดโผอยู่ในมือผบ.ตร. ย่อมจะรู้ว่าตำรวจนายไหนเกียร์ว่าง แม้จะได้ขยับตำแหน่งที่สูงขึ้นเพราะอาวุโสสูง จะถูกจัดไปนั่งตำแหน่งประจำหรือหน้างานที่ไม่ต้องสัมผัสกับประชาชน ซึ่งตำรวจส่วนใหญ่ย่อมไม่ต้องการอยู่แล้ว

ที่สำคัญช่วยลดภาวะกดดันที่ “ผบ.ตร.” กำลังเผชิญกับตั๋วที่ทั้งฝ่ายการเมืองและอินฟูเอนเซอร์วงการต่างๆ ได้ด้วย เพราะถ้าทำตามตั๋วฝาก โอกาสที่ ผบ.ตร. จะต้องมานั่งแก้ต่างคดีให้กับตัวเองหลังเกษียณอายุมีสูงเช่นกัน!!!