ดูให้เห็นกับตา!! ไทย พาคณะทูต-สื่อต่างชาติ กว่า 200 ชีวิต ดูสภาพ เซเว่น-รพ.-บ้าน รร. พื้นที่ทหารเขมรสังหารพลเรือน!!

553

อุบลราชธานี, วันที่ 1 ส.ค. – คณะทูต-ผู้ช่วยทูตทหาร และสื่อมวลชน เดินทางด้วยเครื่องบินของกองทัพอากาศถึงจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อไปสังเกตการณ์และรับฟังคำการสรุปสถานการณ์ของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพื้นที่พลเรือน และโรงพยาบาล ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตามคำเชิญของรัฐบาลไทย โดยคณะประกอบไปด้วย เอกอัครราชทูต 3 ประเทศ ได้แก่ บรูไน, ญี่ปุ่น,  เมียนมา, อุปทูต 3 ประเทศ จาก มาเลเซีย, สปป. ลาว, อินโดนีเซีย, ผู้แทนทางการทูตระดับต่าง ๆ 5 ประเทศ จาก สหรัฐฯ, สิงคโปร์, จีน, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และ ผู้ช่วยทูตทหาร รวม 23 ประเทศ ได้ได้แก่ จีน มาเลเซีย ปากีสถาน เกาหลีใต้ รัสเซีย สิงคโปร์ เยอรมัน อินเดีย ลาว แคนาดา  ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เวียดนาม อิตาลี เนเธอร์แลนด์ อินโดนิเซีย สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์  บรูไน ทูร์เคีย สหราชอาณาจักร และสื่อมวลชนทั้งไทย และต่างประเทศ กว่า 100 คน

จากนั้นคณะผู้แทนไทย ได้แก่ พ.อ. พัฒนา พันธุ์มงคล กรมข่าวทหารบก พล.ต. วินทัย สุวารี โฆษกกองทัพ  นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ พล.ต. นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 ร่วมกันบรรยายสรุป โดยทีมผู้แทนไทยเน้นไปที่ 3 เรื่อง ได้แก่ 1) ไทม์ไลน์ และข้อเท็จจริง 2) สถานการณ์ปัจจุบัน 3) ข้อมูลที่ผิด หรือเฟคนิวส์ ของกัมพูชา

นายรัศม์ กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการที่เปิดกว้าง โดย กต. ได้เชิญคณะทูตประเทศอาเซียน 8 ประเทศ และประเทศที่เป็นพยานการเจรจาหยุดยิง ได้แก่สหรัฐฯ และจีน รวมถึงญี่ปุ่น และผู้ช่วยทูตทหาร 28 คน จาก 23 ประเทศ รวมถึงสื่อไทยเทศ รวมกว่า 100 คน และสื่อต่างประเทศ 23 สำนัก อย่างกว้างขวาง เพื่อเน้นย้ำถึงความความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไม่ใช่การนำเสนอข้อมูลที่ถูกควบคุมและชี้นำ ซึ่งไทยให้ความสำคัญกับเสรีภาพของสื่อมวลชน

การลงพื้นที่ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสารให้ประชาคมโลกได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริงในพื้นที่ ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเจรจาบนหลักการและความถูกต้องและจริงใจ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาโดยสันติวิธีภายใต้กรอบทวิภาคีได้ในที่สุด รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงจุดยืนและการดำเนินการของไทยว่ายืนอยู่บนหลักการกฏหมายระหว่างประเทศ ที่จะให้การเจรจาทวิภาคีอย่างสันติวิธีในการแก้ไขปัญหา ได้ใช้ความอดกลั้นมาโดยตลอด และการป้องกันตนเองตามแนวทางกฏบัตรสหประชาชาติ และกฏหมายระหว่างประเทศ

ผู้ช่วย รมต.ต่างประเทศ กล่าวว่า ท่ามกลางการนำเสนอข้อมูลที่ขัดแย้งกันระหว่างสองฝ่าย สิ่งหนึ่งที่มีหลักฐานชัดเจน คือ กัมพูชาได้โจมตีโรงพยาบาล โรงเรียน บ้านเรือน ร้านค้า ปั๊มน้ำมันในพื้นที่ชุมชนอย่างหนัก ทำให้สตรี เด็กและประชาชนที่ไม่มีอาวุธต้องสูญเสียชีวิต ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ทหารไทยจำเป็นต้องโต้ตอบเพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตของประชาชนไทย

จากนั้นเดินทางไปพื้นที่ทหารกัมพูชายิงจรวดใส่ร้านสะดวกซื้อ สถานีบริการนำมัน ปตท.บ้านมือ ต.หนองหญ้าลาดือ.กัทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งทำให้ประชาชนคนไทยเสียชีวิต 8 คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กอายุ 7-8 ปี บาดเจ็บจำนวน 10 คน และเดินทางต่อ ร.ร.ภูมิชรอลวิทยา ต.เสาธงชัย เพื่อสังเกตการณ์ พื้นที่ได้รับความเสียหาย และเดินทางไปยัง รพ.สต.บ้านชำเม็ง ต.เสาธงชัย สังเกตการณ์ พื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ก่อนจะเดินทางต่อไปยังศูนย์พักพิง วิทยาลัยเทคโนโลยี กันทรลักษ์

โดย พล.ต.วินธัย กล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการพา เอกอัครราชทูต อุปทูต ทูตทหาร สื่อต่างประเทศ รวมทั้งสื่อไทยในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ดูเรื่องหลัก ๆ คือผลกระทบจากการใช้อาวุธทหารกัมพูชามาที่เป้าหมายพลเรือน ได้แก่โรงพยาบาล โรงเรียน มีปั๊มน้ำมันในร้านสะดวกซื้อ และปิดท้ายไปที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวว่ามีประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบเพียงใด ซึ่งเอกอัครราชทูต อุปทูต ทูตทหาร และสื่อต่างประเทศจะได้เห็น จะเป็นโอกาสดีที่จะให้ผู้ที่ไปในวันนี้ได้สื่อสารไปในระดับสากล 

“เป้าหมายหลักของเราเน้นเรื่องของข้อเท็จจริง เราอาจจะไม่เหมือนกับฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะสถานที่หรือจุดที่เราไปทั้งหมดนั้นเป็นจุดเกิดเหตุที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่ละจุดเหล่านั้นค่อนข้างห่างจากพื้นที่การสู้รบเป็นหลาย 10 กิโลเมตร โดยต่างประเทศที่ไปสังเกตดูทุกคนก็ยังพูดถึงกองทัพบกที่ได้ออกมาชี้แจงได้ให้กำลังใจกันเป็นการส่วนตัว ว่าเราสามารถตอบสนองต่อข่าวได้เร็วมาก ทุกคนน่าจะมีความเห็นตรงกันในเรื่องนี้”โฆษก ทบ.กล่าว