ตำรวจCIB รวบเครือข่ายบัญชีม้า ทลายทีมถอนเงินวันเดียวกว่า 10 ล้าน โยงขบวนการหลอกลงทุนออนไลน์

577

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.วิทยา
ศรีประเสริฐภาพ รรท.ผบก.ป., พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., ว่าที่ พ.ต.อ.ภัทรพล ปัทมวงศ์
ผกก.สนับสนุน.บก.ป., พ.ต.ท.เจตนิพัทธ์ ศิริวัฒน์, พ.ต.ท.กันต์กวี อดุลยาศักดิ์, พ.ต.ท.ธนศักดิ์ ปราสาททอง รอง ผกก.สนับสนุน.บก.ป., ว่าที่ พ.ต.ท.หญิง ปริญญา สร้างหลัก, ว่าที่ พ.ต.ต.ฉัตรชัย อินทร์บำรุง, ว่าที่ พ.ต.ต.จิรัสสิทธิ์ เพ็ชรทองมา สว.กก.สนับสนุน.บก.ป.

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม กก.สนับสนุน บก.ป. นำโดย ร.ต.อ.ทศพล กระพี้แดง รอง สว.กก.สนับสนุน.บก.ป., จ.ส.ต.อิสระพงษ์ ฉายแก้ว, ส.ต.ต.จิรกิตดิ์ ทัดทรง, ส.ต.ต.กฤติเดช กูดมา ผบ.หมู่ กก.สนับสนุน บก.ป.
พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สนับสนุน บก.ป.กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผบก.ปอศ, พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ รอง ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.นิตติโชติ เพ็ญจำรัส รอง ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.วิวิฒน์ จิตโสภากุล รอง ผบก.ปอศ.

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปอศ. นำโดย พ.ต.อ.กริช วรทัต ผกก.4 บก.ปอศ., พ.ต.ท.รัฐพร คงสุโข รอง ผกก.4 บก.ปอศ. และ พ.ต.ต.หญิง ชนากานต์ นิรัมย์ สว.กก.4 บก.ปอศ. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง กก.4 บก.ปอศ.

ร่วมกับ ทีมสืบสวนทุจริตด้านดิจิทัล ธนาคารฯ ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย 1.นาวสาวอภัชชาฯ อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 4069/2568 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2568,2.นายธเนศฯ อายุ 45 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 4070/2568 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 และ3.นายสุริยาฯ อายุ 41 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 4071/2568 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริตนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลอันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อประชาชน”สถานที่จับกุม น.ส.อภัชชาฯ จับกุมได้ที่ บ้านหลังหนึ่ง ม.4 แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กทม.,นายธเนศฯ จับกุมได้ที่ บ้านหลังหนึ่ง ม.1 ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ และ นายสุริยาฯ จับกุมได้ที่ บ้านหลังหนึ่ง ถ.สายลวด ม.1 ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ


พฤติการณ์ของขบวนการ เจ้าหน้าที่กองกำกับการสนับสนุน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ได้รับการประสานจาก ฝ่ายป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ว่ามีการถอนเงินสดจำนวนมากอย่างผิดปกติจากหลายสาขาในกรุงเทพฯ โดยมีลักษณะพฤติกรรมการโทรจองเงินล่วงหน้า พร้อมจัดส่ง “ทีมงานเฝ้าบัญชี” ไปควบคุมการถอนเงินสดจากบัญชีที่ได้รับโอนจากเหยื่อ ซึ่งถูกหลอกผ่านทางสื่อโซเชียล (Facebook / LINE) ให้นำเงินมาร่วมลงทุนในแพลตฟอร์มปลอม อ้างผลตอบแทนสูง ต่อมาได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีกลุ่มผู้ต้องสงสัยบัญชีม้า คดีอาชญกรรมทางเทคโนโลยี มีการถอนเงินสดประมาณ 5 ล้านบาท ที่ธนาคารไทยแห่งหนึ่ง


พฤติการณ์การการก่อเหตุ ผู้เสียหาย พบข้อความจาก Facebook ว่ามีการแจกพันธุ์ต้นไม้ฟรี จากนั้นมีการให้เข้า Line กลุ่ม ก่อนจะมีการชักชวน ให้โปรโมท แพลตฟอร์ม เพื่อรับผลตอบแทน จึงได้หลงเชื่อ
โอนเงินไปร่วมลงุทน จำนวน 7 ครั้ง รวม 1,020,916 บาท คนร้ายอ้างว่าเมื่อกลับอเมริกาแล้วจะนำเงิน
มาคืนให้ ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงทำการโอนเงินไปจำนวน 4 ครั้ง มีมูลค่าความเสียหายรวมทั้งสิ้น 1,580,000 บาท โดยเงินส่วนหนึ่งได้โอนเงินเข้าบัญชี น.ส.อภัชชาฯ (ผู้ต้องหาที่ 1)ข้อมูลทางธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง ในวันที่มิจฉาชีพไม่ได้หลอกแค่ “คลิกเดียว” แต่สร้างขบวนการแยบยลระดับ “ธุรกิจเถื่อน” เบื้องหลังการหลอกเหยื่อผ่านโซเชียลมีเดียให้โอนเงินร่วมลงทุนในแพลตฟอร์มปลอม มีเพียงบัญชีธนาคารธรรมดาๆ ที่กลายเป็นจุดศูนย์กลางความเสียหายหลายล้านบาท หนึ่งในนั้นคือบัญชี ชื่อ น.ส.อภัชชาฯ (ผู้ต้องหาที่ 1) ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าเป็น “บัญชีรับโอนแถวแรก” ของขบวนการหลอกลวงที่มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้วมากกว่า 9 คดี จุดที่น่าจับตาคือในวันเดียว มีเงินหมุนเวียนเข้าออกบัญชีนี้มากกว่า 4.9 ล้านบาท
ข้อมูลจากฝ่ายป้องกันอาชญากรรมทางการเงินของธนาคารไทยพาณิชย์ระบุว่า ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บัญชีของ น.ส.อภัชชาฯ (ผู้ต้องหาที่ 1) มีการรับโอนเข้าจาก 24 บัญชี รวมกว่า 40 ครั้ง ในวันเดียว รวมยอดกว่า 4.9 ล้านบาท ซึ่งหลังจากยอดเงินเข้าสะสมในระดับที่พอใจ ผู้ต้องหาได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร เพื่อขอถอนเงินสดจำนวนรวม 5 ล้านบาท
โดยดำเนินการแบ่งถอนออกเป็น 4 ครั้ง ในวันเดียวอย่างแนบเนียน


อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังการถอนเงินไม่ใช่แค่ฝีมือของเจ้าของบัญชีเท่านั้น แต่ปรากฏว่ามีทีมสนับสนุนที่วางแผนทำงานอย่างเป็นระบบ โดยมี น.ส.อภัชชาฯ (ผู้ต้องหาที่ 1) เป็นเจ้าของบัญชีม้า รับโอนเงินจากเหยื่อและดำเนินการถอนเงินตามคำสั่ง ขณะที่ นายธเนศฯ (ผู้ต้องหาที่ 2) ทำหน้าที่ควบคุมขั้นตอนการถอนเงิน
จากธนาคาร ประสานกับเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบยอดเงิน และดูแลความเรียบร้อยในการเบิกถอน ส่วนเงินสดที่ได้จะถูกส่งต่อให้กับ นายสุริยาฯ (ผู้ต้องหาที่ 3) ซึ่งรับไม้ต่อเพื่อนำเงินไปฝากต่อยังบัญชีที่ถูกเตรียมไว้สำหรับกระจายหรือฟอกเงิน


เมื่อเงินสดหลุดออกจากระบบธนาคาร เงินบางส่วนถูกนำไปใช้จ่ายหรือโอนต่อเข้าบัญชีอื่น ส่วนหนึ่งนำเงินไปฝากต่ออีกทอดหนึ่ง จะได้รับส่วนแบ่งประมาณ 5–5.5% เพื่อเข้าบัญชีผู้ร่วมกระบวนการหรือหัวหน้า จากยอดที่ถอนได้ในแต่ละวัน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งถูกแปลงเป็นคริปโตเคอร์เรนซีผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชื่อดังในไทย 2 แพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นวิธีที่มิจฉาชีพนิยมใช้เพื่อลบร่องรอยเส้นทางการเงิน ลดความเสี่ยงในการตรวจสอบจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย


เหตุการณ์นี้สะท้อนภาพรวมของขบวนการฟอกเงินยุคใหม่ ที่อาศัยเพียงบัญชีม้าไม่กี่ราย แต่สามารถเคลื่อนย้ายเงินหลักล้านบาทได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง พร้อมกับทีมงานที่แบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนเหมือนการบริหารบริษัทผิดกฎหมายที่มีระบบควบคุม ตรวจสอบ และกระจายรายได้อย่างรัดกุม


จากการรวบรวมพยานหลักฐาน ทำให้ทราบถึงพฤติกรรมร่วมกันของกลุ่มผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานก่อนขอศาลอนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 รายหลัก ประกอบด้วยเจ้าของบัญชีม้า ผู้ควบคุมการถอนเงิน และผู้รับเงินไปฝากบัญชีปลายทาง ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการรายอื่น รวมถึงกลุ่มนายทุนและผู้จัดหาบัญชีม้าที่อยู่เบื้องหลัง ขบวนการที่ดูเหมือนง่าย แต่ซับซ้อนเกินกว่าที่เหยื่อและสังคมจะคาดคิด
รูปแบบและโครงสร้างขบวนการ กลุ่มบัญชีม้า ทำหน้าที่เปิดบัญชีรับโอนและถอนเงินสด โดยได้รับค่าจ้างประมาณ 2,000 บาทต่อครั้ง,ผู้แนะนำบัญชีม้า จะได้รับค่าจ้างหัวละประมาณ 4,000 บาท,ทีมควบคุมการถอนเงิน และนำเงินไปฝากต่ออีกทอดหนึ่ง จะได้รับส่วนแบ่งประมาณ 5–5.5% จากยอดที่ถอนได้ในแต่ละวัน

พบว่าในหนึ่งวันมักมีการนัดถอนเงิน 1–2 ราย ช่วงเวลา 11.30–18.30 น. หรือจนกว่าธนาคารจะปิดทำการความคืบหน้าในการจับกุม จากการสืบสวนติดตาม เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้แล้วจำนวน3 ราย และอยู่ระหว่างการขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการรายอื่นที่ยังอยู่ระหว่างการหลบหนี
สอบถามคำให้การ เบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เตือนภัย ฝากเตือนประชาชนการนำบัญชีธนาคารของตนเองไปให้ผู้อื่นใช้งาน โดยเฉพาะหากรู้ว่าอาจถูกนำไปใช้ในทางผิดกฎหมาย เช่น โอนเงินหลอกลวง ฟอกเงิน หรือธุรกรรม
ผิดกฎหมายอื่นๆ มีความผิดตามกฎหมายอย่างชัดเจน แม้คุณจะ “ไม่ได้กระทำความผิดโดยตรง” ก็ยังถือว่า
มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด การเอาบัญชีไปให้ให้ผู้อื่นใช้งาน ถือเป็น การมีส่วนร่วมในอาชญากรรม โดยเฉพาะหากบัญชีนั้นถูกใช้ในการกระทำความผิดจริง

“การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชนให้รู้เท่าทันภัยอันตรายรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้เป็นวงกว้างทั้งนี้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ดังนั้น สำหรับการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชน ขอให้พิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของผู้ต้องหาข้างต้น”