นายรังสิมันต์ โรม ประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า คณะกรรมาธิการฯ ยังติดตามอย่างใกล้ชิด ส่วนเรื่องคลิปเสียงก็ยังไม่ยอมแพ้ ต้องมีการหารือแนวทางในคณะกรรมาธิการฯ อีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ต้องได้รับความชัดเจน แต่จนถึงขณะนี้รัฐบาลก็ยังไม่ชัดเจน คณะกรรมาธิการฯ ยังไม่ได้รับการคลี่คลายในเรื่องนี้ ส่วนสถานการณ์นั้น มีความซับซ้อนมากขึ้น และการยุติความขัดแย้งเพื่อนำความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศกลับสู่สถานะปกติ ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีแนวคิดเปิดด่านการค้าขายเช่นเดิม แต่ยังไม่เห็นความชัดเจนว่าแนวทางจะเป็นอย่างไร ขณะที่กัมพูชาก็มีปัญหาของตัวเอง ซึ่งตนมองว่า สิ่งสำคัญที่รัฐบาลไทยควรทำ คือ ยกระดับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง และจำเป็นต้องหารือร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาอย่างเป็นระบบ ซึ่งความยาก คือ กัมพูชาไม่ได้มีมุมมองแบบเดียวกับประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงควรขยายกรอบการหารือกับประเทศอื่น ๆ ให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความคืบหน้าในการจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยเร็ว ซึ่งจะช่วยให้กัมพูชายอมเปิดการพูดคุยในลักษณะปกติมากขึ้น พร้อมทั้งไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานกัมพูชาในบางส่วน และสถานการณ์การเข้า-ออก ประเทศยังมีข้อจำกัด รวมถึงรัฐบาลไทยควรต้องมีแนวทางที่ชัดเจนในการบริหารจัดการ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านกระบวนการกำหนด KPI หรือการออกหมายจับเพิ่มเติมกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อนำไปสู่การปราบปรามอย่างจริงจัง
เมื่อถามถึงกรณีที่รัฐบาลไทยจะเรียกเอกอัครราชทูตไทยกลับจากกัมพูชานั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า รัฐบาลควรเรียกกลับมาตั้งแต่ต้นแล้ว และตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดการดำเนินการต่าง ๆ จึงล่าช้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประท้วงหรือท่าทีการแสดงออกต่อสถานการณ์ รัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่
เมื่อถามว่าที่รัฐบาลตัดสินใจเรื่องชายแดนไม่ได้ เพราะนายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ นั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ส่วนหนึ่งเป็นเช่นนั้น ตนมองว่ามีส่วนที่เป็นรูปแบบและเนื้อหา ส่วนที่เป็นรูปแบบก็ต้องยอมรับว่าการที่นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งไม่ใช่เพียงเท่านี้แต่ต้องรอว่าศาลจะมีคำสั่งอย่างไรต่อไป ขณะที่ความเชื่อมั่นของประชาชนและชาวต่างชาติ มองว่ามีความเป็นไปได้ที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคต ทำให้เกิดปัญหาขาดเสถียรภาพทางการเมืองตามมา
ส่วนเรื่องข้อเสนอทำรั้วรอบประสาทตาเมือนธมนั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเชื้อไฟ หากไทยทำรั้ว ทางกัมพูชาอาจใช้จุดนี้นำมาซึ่งการปะทะ และเมื่อปะทะกันก็มีโอกาสที่กัมพูชาจะนำเรื่องนี้ไปสู่ศาลโลก โดยข้อเสนอเรื่องการทำรั้วเพราะทหารกัมพูชาปลูกปั่นบ่อยครั้งนั้น ก็ต้องดูว่าตกลงแล้วไทยต้องการอะไร หากต้องการให้กัมพูชานำเรื่องไปศาลโลกก็อาจจะทำรั้วร้อมปราสาท แต่หากอยากให้ชายแดนกลับสู่ภาวะปกติ วิธีการวางตัวกำหนดท่าทีและแนวทางต่าง ๆ ต้องใจเย็น อีกทั้งมองว่า เป้าหมายของกัมพูชาที่จะชนะ คือ การพาประเทศไทยไปสู่ศาลโลก
ส่วนกรณีที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดนั้น นายรังสิมันต์ กล่าวแสดงความเสียใจและชี้ว่าไม่ใช่เพียงทหารที่ได้รับผลกระทบ แต่รวมถึงครอบครัวของทหารด้วย ซึ่งไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบนี้ และจะได้ติดตามต่อไปว่าที่มาที่ไปของเหตุการณ์นี้เป็นอย่างไร ตนจะติดตามอย่างใกล้ชิด และจะได้หารือร่วมกับทางกองทัพด้วย
