‘พีระพันธุ์’ ฉายภาพรวมพลังงานไทยให้เด็ก-เยาวชนฟัง ยันประเทศเดินหน้าสู่พลังงานสะอาด

1122

กรุงเทพฯ วันที่ 12 ก.ค. – นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้บรรยายในหัวข้อ ‘นโยบายภาครัฐ อนาคตพลังงานทดแทน’ แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ GreenNext Episode 04 พลังงานทดแทนอนาคต ซึ่งจัดโดยเครือข่ายเยาวชนฮักสิ่งแวดล้อมแม่โขง-อาเซียน องค์กรภาคกลุ่มเด็กและเยาวชน สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย เครือข่ายเด็กและเยาวชนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ประเทศไทย มีสิ่งที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขหลายประการ โดยเฉพาะการทำให้สิทธิในการดำรงชีวิตของประชาชนเป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ใช่ต้องไปขออนุญาตภาครัฐไปหมดทุกอย่าง หรือที่เรียกว่าระบบกำกับดูแล ซึ่งจะตัดวงจรของการทุจริต ตัดวงจรของการรอเวลาในการอนุญาต ซึ่งเหมาะสมกับอะไรที่ไม่กระทบกับผลประโยชน์ส่วนรวม และควรจะปรับปรุงหลาย ๆ อย่างด้วย เรื่องของพลังงานก็เช่นกัน การจะลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประเทศได้ คือการทำให้คนเข้าถึงการผลิตไฟฟ้าได้ด้วยตนเอง คือการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แต่วันนี้ไม่มีกฎหมายเรื่องนี้โดยตรงทำให้ทุกหน่วยงานอ้างว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่ของตนเอง

รมว.พลังงาน กล่าวว่า ทางกระทรวงอุตสาหกรรมก็บอกว่าการติดตั้งโซลาร์เซลล์เป็นการทำโรงงานอุตสาหกรรมเพราะเป็นการผลิตไฟฟ้า ดังนั้นบ้านเรือนที่จะติดตั้งต้องขออนุญาตเป็นโรงงานและขอใบอนุญาตก่อน และหน่วยงานอื่น ๆ ก็อ้างเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะต้องการตรวจสอบโครงสร้างก่อนติดตั้งจากภาครัฐ ทั้ง ๆ ที่เจ้าของบ้านสามารถหาวิศวกรมาเพื่อรับรองโครงสร้างได้เอง ทำให้การขออนุญาตการติดตั้งโซลาร์เซลล์หนึ่งครั้งต้องรอเป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปี วันนี้เราจึงต้องมีกฎหมายส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์โดยตรง และไม่ต้องขอใบอนุญาตเป็นโรงงาน กฎหมายที่จะเปลี่ยนจากระบบควบคุมเป็นการกำกับดูแลเพื่อทำให้ง่าย และไม่ต้องมีการขออนุญาตอีกต่อไป ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติได้เสนอกฎหมายนี้เข้าในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ขณะเดียวกันกฏหมายของกระทรวงพลังงานกำลังรอการบรรจุวาระการประชุมของคณะรัฐมนตรี เพื่อที่จะเสนอในนามคณะรัฐมนตรีต่อไป

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า นอกการออกกฎหมายแล้ว เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีมีมติให้สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการติดตั้งโซลาร์เซลล์ไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในภาษีเงินได้ และยังจะมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์จากทั้งธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) หรือกองทุนส่งเสริมทุนส่งเสริมอนุรักษ์พลังงานให้เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมให้มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ที่จะเป็นการส่งเสริมให้คนสามารถเข้าถึงการผลิตไฟฟ้าได้ด้วยตนเองด้วย

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ถ้าต้องการให้ได้สิ่งแวดล้อมที่ดี จะต้องเลิกใช้พลังงานฟอสซิลทั้งหมด ซึ่งเป็นที่มาว่าจะต้องหาวัตถุดิบประเภทอื่นมาใช้ผลิตพลังงาน เช่น แดด ลม น้ำ ขยะ เพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงหรือวัตถุดิบจากฟอสซิล คือ น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซ ซึ่งการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นภาคที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุด แรกเริ่มเดิมทีผลิตจากถ่านหินเป็นหลัก เพราะหาได้ในประเทศและมีราคาถูก ทำให้ค่าไฟถูก แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ต่อมาจึงปรับเปลี่ยนเป็นก๊าซ ซึ่งถึงแม้จะเป็นพลังงานฟอสซิลแต่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าถ่านหิน แต่การใช้ก๊าซธรรมชาติต้องแลกด้วยค่าไฟที่แพงมากขึ้น เนื่องจากก๊าซธรรมชาติไม่ได้หาง่ายเหมือนถ่านหิน ต้นทุนการผลิตแพงกว่าถ่านหิน อีกเหตุผลหนึ่งคือและการให้เอกชนมีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้ามากเพราะมีการบวกกำไรของภาคเอกชนเข้าไปอีกด้วย

รมว.พลังงาน ยังกล่าวถึงแผนพัฒนาพลังไฟฟ้า หรือ PDP ว่าจะเป็นกรอบในการกำหนดว่าจะมีการผลิตไฟฟ้าแบบไหนอย่างไร คือมีที่มาจากแหล่งไหนในสัดส่วนเท่าใด ที่ผ่านมาเรามุ่งเน้นไปที่การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติอย่างเดียว ซึ่งตนเห็นว่าต้องปรับไปใช้พลังงานทดแทนให้มากขึ้น โดยแผนพลังไฟฟ้าจะต้องตั้งเป้าหมายคือ เพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนควบคู่กับความมั่นคงทางพลังงาน ต้องสำรวจแหล่งพลังงานทดแทนในประเทศว่าสามารถใช้สิ่งใดได้บ้าง และเท่าใด ไม่ว่าจะเป็นพลังงานน้ำ หรือลม และแสงอาทิตย์ที่ประเทศไทยมีมากที่สุด

อีกหนึ่งพลังงานทดแทนที่น่าสนใจ คือ พลังงานชีวมวล เป็นการเผา ขยะมูลฝอย รวมถึงพวกเศษไม้หรือวัตถุดิบเหลือใช้ทางการเกษตร หรือก๊าซที่ผลิตจากมูลสัตว์ ที่กล่าวมาทั้งหมดคือ PDP ควรที่จะสำรวจพลังงานทดแทนทั้งหมดของไทยว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณเท่าใด เพื่อจะสามารถลดปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซลง เมื่อประสบความสำเร็จคือจะทำให้พลังงานไฟฟ้ามีสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างพลังงานทดแทนกับก๊าซและจะทำให้สัดส่วนสีเขียวมากยิ่งขึ้น

“ดีใจที่มีน้อง ๆ คนรุ่นใหม่ที่สนใจบ้านเมือง ขอให้ทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน แต่ขอให้ใช้เหตุและผลในการทำงาน เพราะประเทศจะเดินไปได้ไม่ใช่ด้วยอารมณ์แต่ด้วยเหตุและผล โดยเฉพาะการทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมที่แท้จริงไม่ใช่ทำงานไปและคิดถึงผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับด้วย นอกจากนี้จะต้องรับฟังความเห็นข้อมูลอย่างรอบด้าน หมั่นหาความรู้ และที่สำคัญที่สุดคืออย่าลืมความเป็นไทย” นายพีระพันธุ์กล่าว