“ จั๊วหัวแบบนี้แฟนคลับของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจจะไม่ปลื้ม แต่แฟนคลับรัฐบาลเพื่อไทยอาจพึงใจ ส่วนประเด็นทำไมตำรวจต้องมีกำแพงให้พิง มีผู้อ่านและแหล่งข่าวต้องปุจฉาว่า “ประดู่แดง” เขียนถึงบ่อยว่านายกรัฐมนตรีต้องเป็นกำแพงให้พิง“

จึงขอย้อนว่า หลัง คสช. ยึดอำนาจแล้ว ตำรวจกลายเป็นองค์กรแรกที่ถูกวางเป้าต้องปฏิรูป แต่กว่าจะถึงวันที่กฎหมายตำรวจฉบับปี 2565 บังคับใช้ องค์กรตำรวจในอุ้งมือ คสช. ถูกผู้ใหญ่ใน คสช. ใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ โดยนายพลเด็กคอยบริหารจัดการ เกือบตลอดอายุที่ คสช. ครองอำนาจกว่า 8 ปี โดยที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทำหน้าที่แค่ขุนพลอยพยัก
ภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ตกต่ำสุดขีด การบริหารงานบุคคลถูกนายพลเด็กผูกขาดเพียงคนเดียว กฎระเบียบการแต่งตั้งถูกแก้ไขตามอำเภอใจเพื่อนำไปเป็นช่องทางหาผลประโยชน์จากการแต่งตั้งโยกย้าย และสนองความก้าวหน้าของนายพลบางคนเพื่อก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ตำรวจส่วนใหญ่ปฏิบัติหน้าที่แบบแกนๆ รักษาหน้างานไม่ให้ถูกนายตำหนิ บางคนถึงขั้นเกียร์ว่าง บางคนไม่อยากปะทะกับนายพลเด็ก ขอย้ายตัวเองไปอยู่ฝ่ายอำนวยการ
ปัญหาอาชญากรรมพุ่งกระฉูด คดีความต่างๆ ผลการสืบสวนจับกุมล้วนแต่ถูกกระตุ้นจากพวกอินฟลูเอนเซอร์ทั้งสิ้น การพนันออนไลน์เฟื่องฟู มีสองนายพลใหญ่แบ่งสายกันคุมรับผลประโยชน์อย่างอิ่มหมีพีมัน และถึงขั้นส่งนายตำรวจใกล้ชิดขึ้นราคาส่วยแบบข้ามชาติ
ขณะที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์อาละวาด สูบเงินคนไทยนับแสนล้าน สถิติการปราบปรามมีน้อยมาก แถมตำรวจใหญ่บางคนตั้งชุดคอยเคลียร์คดีให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกต่างหาก ธุรกิจแก๊งคอลเซ็นเตอร์เจริญงอกงามทั้งฝั่งพม่าและกัมพูชา กลุ่มคนจีนกว่าสามหมื่นคนใช้ไทยเป็นทางผ่านข้ามไปพม่าเพื่อไปทำงานให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สร้างความกังขาว่าทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองปล่อยไปได้อย่างไร
ส่วนการปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นองค์กรอาชญากรรม เสมือนเล่นปาหี่ เพราะส่วนใหญ่จบลงแบบศาลยกฟ้อง หรืออัยการสั่งไม่ฟ้อง เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ มาพร้อมกับเสียงนินทาว่าเคลียร์เงินให้ชุดจับกุมและผู้ใหญ่ในรัฐบาลเรียบร้อย สร้างความเสียหายให้กับ ตร. เพราะถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย
ที่ยกมาล้วนเป็นวีรกรรมของตำรวจในยุค คสช. ครองเมือง แถมเป็นยุคที่ภาพลักษณ์สำนักปทุมวันตกต่ำอย่างหนัก ตำรวจไม่กล้าทำงานเพราะไร้ผู้ใหญ่ทั้งใน ตร. และรัฐบาล คอยเป็นเกราะป้องกันหรือเป็นกำแพงให้พิง เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ธุรกิจเถื่อนส่วนใหญ่ต่างซบใต้บารมีของนักการเมืองบ้านใหญ่ หรือผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆ หากผลีผลามเข้าจับกุม ตำรวจทั้งชุดมีโอกาสถูกเด้งเก็บกรุ หรือถูกตัดตอนไม่ให้ก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ และบางรายถูกแจ้งความดำเนินคดีอีกต่างหาก
แต่ถ้ามีนายกรัฐมนตรีในฐานะกำกับดูแล ตร. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) หรือตำรวจระดับบริหารเป็นกำแพงให้พิง เหตุการณ์ดังที่กล่าวจะไม่เกิดขึ้น
ครั้นมามองในยุคที่รัฐบาลเพื่อไทย ประเดิมที่นายเศรษฐา ทวีสิน จะเห็นตำรวจขยับการปราบปรามอาชญากรรมมากขึ้น กล้าที่จับกุมแก๊งพนันออนไลน์ที่มีนักการเมืองสังกัดพรรคร่วมรัฐบาลสมัย พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ดำเนินคดี แต่ด้วยสาเหตุหรือปัจจัยอะไรไม่อาจทราบได้ อัยการกลับสั่งไม่ฟ้อง
ผลการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพิ่มอย่างผิดหูผิดตา มีการย้ายตำรวจใหญ่บางคนร่ำรวยเพราะคุ้มครองดูแลแก๊งพนันออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พ้นหน้าที่สามารถหยุดความอหังการ์ของแก๊งพวกนี้ได้ระดับหนึ่ง
เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือมาอยู่ในมือของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวนายทักษิณ ชินวัตร การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้มข้นขึ้น น.ส.แพทองธาร ออกโรงเองประกาศตัดน้ำตัดไฟ ส่งไปฝั่งพม่าทันที ทั้งที่ในอดีตนายเศรษฐาเคยสั่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยดำเนินการตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2567 แต่ไร้การตอบสนอง
ส่งผลให้สถิติการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์และพนันออนไลน์เพิ่มขึ้นแบบทันตาเห็น ตัวเลขแจ้งความว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลดลงอย่างมีนัยยะ แม้แต่บุรีรัมย์ ทุกตารางนิ้วล้วนอยู่ในสายตาของนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่ภูมิใจไทย ตำรวจไซเบอร์บุกจับเว็บพนันออนไลน์ถึง 2 เว็บ มีเงินหมุนเวียนกว่า 1,800 ล้าน/เดือน สะท้อนว่าน่าจะเปิดมาเป็นเวลานานแล้ว
จังหวะเดียวตำรวจไซเบอร์ปูพรหมค้น 19 จุด เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฟอกเงินของนายก๊ก อาน สมาชิกวุฒิสภากัมพูชา ยึดของกลางจำนวนมาก พร้อมออกหมายจับนายก๊ก อาน แม้ถูกมองว่าเป็นการเอาคืนสมเด็จฮุน เซน ที่ปล่อยคลิปคุยหลังไมค์กับ น.ส.แพทองธาร เนื่องจากนายก๊ก อาน เป็นคนใกล้ชิดสมเด็จฮุน เซน ก็ตาม แต่สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อตำรวจมีกำแพงให้พิง พร้อมที่จะจัดการแก๊งธุรกิจเถื่อนที่ใช้ไทยเป็นฐานมายาวนาน
ขณะที่ตำรวจเปิดเกมรุกตลอด ล่าสุด พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ ผนึกกำลังกับประชาคมโลก จัดตั้งศูนย์บริหารฉับพลันเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ โดยร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ อาทิ ยูเอ็น ตำรวจสากล และเอฟบีไอ เป็นต้น ร่วมกันเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนข้อมูลและปฏิบัติการร่วมกัน
ดังนั้น เมื่อมองการทำงานของตำรวจพอเห็นภาพแล้วว่า ยุค คสช. ปฏิบัติหน้าที่ด้อยกว่ายุคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เหตุผลหลักเพราะนายกรัฐมนตรีและ ผบ.ตร. คอยเป็นกำแพงให้พิง แต่อีกปัจจัยสำคัญคือ เชื่อเครดิตว่าพ่อของนายกรัฐมนตรีต้องดูแลตำรวจที่ทำงานสนองนโยบายรัฐบาล เหมือนยุคสมัยที่พ่อนายกฯ ทำสงครามกับยาเสพติด!!!


