กลุ่มซีไอเอ็มบี ผนึกความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Ripple พัฒนาบริการระบบชำระเงินข้ามพรมแดนและข้ามธุรกิจในหลากหลายตลาด ภายใต้ความร่วมมือนี้ กลุ่มซีไอเอ็มบีจะเข้าร่วมเครือข่าย ‘RippleNet’ ของ Ripple ซึ่งการเข้าร่วม RippleNet จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ซีไอเอ็มบีเข้าถึงสมาชิกอื่นๆของ RippleNet และสามารถต่อยอดธุรกิจชำระเงินข้ามแดนได้อีกด้วย
กลุ่มซีไอเอ็มมีบริการโอนเงินด่วนข้ามประเทศชื่อ SpeedSend ซึ่งขณะนี้ได้รับการยกระดับ ให้มีประตูใหม่ๆ ในการรับชำระเงิน ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการนี้มากขึ้นแล้ว ด้วยบล็อกเชนโซลูชั่น ยกตัวอย่าง ลูกค้าโอนเงินผ่าน SpeedSend ไปออสเตรเลีย (พันธมิตรคือ Instarem หนึ่งในสมาชิกของ RippleNet) สหรัฐ อังกฤษ และฮ่องกงได้
เต็งกู ดาโต๊ะ ศรี ซาฟรูล อาซิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มซีไอเอ็มบี เปิดเผยว่า “เรายินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ RippleNet และตั้งเป้าหมายจะขยายความร่วมมือกับ Ripple โดยอาศัยจุดแข็งและศักยภาพของกันและกัน ด้วย
นวัตกรรมบล็อกเชนโซลูชั่นจะช่วยปฏิวัติการโอนเงินข้ามประเทศ และเป็นสิ่งยืนยันว่าซีไอเอ็มบีที่จะก้าวไปอีกขั้นกับดิจิทัลแบงกิ้ง โดยเน้นความรวดเร็ว และการประหยัดต้นทุนให้ลูกค้าทั่วอาเซียน”
ก้าวย่างนี้เป็นส่วนหนึ่งของโรดแมพความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งหมด ซีไอเอ็มบีจะขยายโซลูชั่นไปยังส่วนอื่นๆของกลุ่มซีไอเอ็มบี เพราะเล็งเห็นความต้องการโซลูชั่นชำระเงินข้ามแดนทั่วภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น อ้างอิงจากเวิลดิ์แบงก์ที่ประมาณการว่าจะมีปริมาณการโอนเงินภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตเพิ่มเป็น 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ภายในสิ้นปี 2561
แบรด การ์ลิงเฮ้าส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Ripple เปิดเผยว่า “เราเห็นแนวโน้มของธนาคารและสถาบันการเงินจากทั่วโลกเริ่มเข้ามาที่บล็อกเชนโซลูชั่น เพราะช่วยเรื่องความโปร่งใส ความรวดเร็ว และต้นทุนการชำระเงินที่ถูกลง ตอนนี้เครือข่ายของซีไอเอ็มบีขยายไปถึง 15 ประเทศ ด้วยเครือข่ายทั้งสิ้นใกล้จะ 800 แห่ง และนำเสนอบริการ SpeedSend ซึ่งเป็นหนึ่งในบริการโอนเงินที่ดีที่สุดในอาเซียน ขณะนี้ การบูรณาการเทคโนโลยีบล็อกเชนของ Ripple จะช่วยให้บริการส่งเงินจากลูกค้าไปยังครอบครัว เพื่อน และคนที่รัก มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การที่ซีไอเอ็มบีให้ความสำคัญกับนวัตกรรม จะทำให้ซีไอเอ็มบีก้าวเป็นผู้นำตลาดของภูมิภาคในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้”