“คลิปหลังไมค์ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คุยกับสมเด็จฮุน เซน เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา เป็นการส่วนตัว ถูกสมเด็จฮุน เซนแอบอัดไว้และปล่อยผ่านสื่อโซเชียล กลายเป็นประเด็นร้อนที่นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองไทย“

หลายฝ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความรู้ด้านการทูตและภาวะความเป็นผู้นำ ต่างรุมประณามสมเด็จฮุน เซนว่าไร้มารยาททางการทูต ไม่เป็นลูกผู้ชาย พฤติกรรมเช่นนี้ไม่มีผู้นำประเทศใดในโลกกระทำ
แต่ในประเทศไทยกลับกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของกลุ่มที่สูญเสียอำนาจทางการเมือง นำมาปั่นกระแสปลุกม็อบ รุมประณาม น.ส.แพทองธาร และพรรคเพื่อไทยว่าไม่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ โดยไม่วิเคราะห์แยกแยะว่าการกระทำของสมเด็จฮุน เซนมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่
จังหวะเดียวกัน พรรคภูมิใจไทยฉวยโอกาสที่ถูกบีบให้คืนกระทรวงมหาดไทย ตีกินทางการเมืองด้วยการออกแถลงการณ์ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล พร้อมเรียกร้องให้น.ส.แพทองธาร แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่ทำให้ประเทศต้องเสียเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีของชาติ ประชาชน และกองทัพ
ต่อมา แกนนำพรรคภูมิใจไทยต่างโพสต์ผ่านสื่อโซเชียล ปลุกให้ประชาชนลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องชาติ ตามด้วยรัฐมนตรีจากภูมิใจไทยยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง สอดรับกับม็อบขาประจำนัดชุมนุมขับไล่รัฐบาลหน้าทำเนียบรัฐบาล และบางกลุ่มถึงขั้นเชิญชวนให้ทหารยึดอำนาจ
จากบริบทดังกล่าว เกิดกระแสวิจารณ์ในสื่อโซเชียลว่า สมเด็จฮุน เซน โยนระเบิดลูกนี้ได้ผลอย่างมาก ฝ่ายแค้นที่สูญเสียอำนาจต่างปลุกกระแสให้ประชาชนลุกฮือขับไล่น.ส.แพทองธารลงจากอำนาจ โดยสมเด็จฮุน เซนนั่งกระดิกตีนดูความแตกสามัคคีในไทย พร้อมเก็บเกี่ยวคะแนนนิยมในชาติอย่างสบายใจเฉิบ
ซึ่งเป็นเกมที่สมเด็จฮุน เซน ยอมเทหมดหน้าตัก หวังเรียกคะแนนนิยมภายในชาติ ตามที่น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ชัดเจนแล้วว่าความต้องการของท่านจริง ๆ คือคะแนนนิยมในประเทศ โดยไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ท่านต้องการความนิยม เพราะท่านเคยบอกดิฉันว่า “คะแนนนิยมเริ่มตก” เกมนี้เท่ากับสมเด็จฮุน เซน ผลักมิตรไปเป็นศัตรู ซึ่งเสียมากกว่าได้ เพราะถ้าเปลี่ยนรัฐบาล ความสัมพันธ์ที่ดีแบบรัฐบาลจากตระกูลชินวัตรคงเกิดยาก และรัฐบาลใหม่ของไทยคงไม่ให้ราคาสมเด็จฮุน เซน มากนัก ถ้ารัฐบาลยังคงเป็นน.ส.แพทองธาร เชื่อว่าเหตุการณ์ “ถูกแทงข้างหลัง” คือบทเรียนสำคัญ
ในจังหวะที่กระแสในโซเชียลโหมกระหน่ำถล่มรัฐบาลแพทองธารและตระกูลชินวัตร ถึงขั้นตะเพิดพ้นประเทศ นักวิชาการและผู้รู้หลายกลุ่มต่างโพสต์แสดงความห่วงใย เรียกร้องให้ประชาชนเสพข่าวอย่างมีสติ คิดแยกแยะว่าการกระทำของสมเด็จฮุน เซนสร้างความแตกสามัคคีให้คนในชาติหรือไม่ มีการแชร์เตือนสติกันจำนวนมาก เช่น ข้อความที่ว่า ปัญหาคลิปเสียงไม่ควรถูกวิเคราะห์แค่ในมิติของความผิดพลาดส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ควรขยายไปถึงมิติที่ซ่อนเร้นไว้เบื้องหลัง
เนื้อหาบางตอนระบุว่า ใครได้ประโยชน์จากความแตกแยก? และใครคือผู้จัดฉากหรืออยู่เบื้องหลังการปล่อยคลิป ซึ่งคลิปเสียงไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นเครื่องมือ จุดมุ่งหมายแท้จริงคือ ทำลายความสามัคคีในประเทศ ทำให้ประชาชนเกลียดรัฐบาล และเปิดช่องเรียกร้องให้โค่นอำนาจ ทำไมกระแสสังคมกลับหันมาด่าผู้นำไทย? แสดงว่าการปั่นกระแสหรือสงครามข้อมูลได้ผลมาก สังคมกลายเป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว… ท้ายข้อความสรุปว่า “ศัตรูที่แท้จริงไม่อยู่ในคลิป…แต่อยู่เบื้องหลังคลิป”
หรือบทความที่เขียนโดยผู้ใช้นามว่า “ผู้การเสือ” ใช้ชื่อเรื่องว่า “เขียนด้วยใจ” เนื้อหาบางช่วงระบุว่า “อย่าให้คนอื่นปั่นหัวเราได้ง่าย ๆ บทเรียนจากคลิปเสียงสู่สงครามในสนามประชาธิปไตย” เกมใหญ่ไม่ใช่คนไร้แผน… ผู้นำที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้องมีทีมที่ไม่โง่กับอารมณ์ของศัตรู ในฐานะทหารเก่าที่เคยผ่านการวางแผน ยืนหยัด และเจรจาในหลายเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ขอใช้โอกาสนี้เตือนสติคนไทยด้วยใจบริสุทธิ์ว่า “สงครามรูปแบบใหม่ไม่ได้ยิงด้วยปืนหรือปล่อยระเบิด แต่มันยิงด้วยข้อมูล ดิสเครดิต ปั่นกระแส จนทำให้ศัตรูแตกกันเองและรอเก็บผลประโยชน์อย่างใจเย็น”
ผู้การเสือยกกรณีสมเด็จฮุน เซนปล่อยคลิปที่คุยแบบส่วนตัวออกมาว่า “คลิปเสียงที่ไม่ใช่อาวุธ…แต่กลับถูกใช้เป็นอาวุธ” ท้ายบทความชี้แนะแนวทางว่าหากเกิดความวุ่นวาย รัฐบาลควรทำอย่างไร…
ที่ยกมานำเสนอ “จอมมารน้อย” คาดหวังเพียงเตือนสติกันว่า หากจะเสพข่าว หรือจะร่วมกิจกรรมทางการเมืองไม่ว่าจะขับไล่รัฐบาลหรือสนับสนุนรัฐบาล ต้องใช้สติ แยกแยะ ชั่งน้ำหนักข้อมูลของทั้งสองฝ่าย ว่าฝ่ายใดมีเหตุและผล ทำเพื่อประเทศชาติและส่วนรวมจริง ๆ หากรู้สึกว่า “พอ ๆ กัน” ควรวางเฉย ไม่แชร์ข้อมูลเพื่อยั่วยุจนเกิดความแตกแยก
ขณะเดียวกัน หากรัฐบาลฟอร์มคณะรัฐมนตรีไม่สำเร็จหรือถึงทางตัน ควร “ผ่าทางตัน” อย่างรวดเร็ว ด้วยการยุบสภาให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน อย่ายื้อจนกลายเป็นช่องว่างให้ทหารก่อรัฐประหาร เพราะเกือบสิบปีที่ผ่านมา เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่เข็ดขี้อ่อนขี้แก่กับรัฐบาลเผด็จการทหารเต็มทนแล้ว!!


