‘กัณวีร์’ รำลึกวันผู้ลี้ภัยโลก ไม่อยากเห็นสงคราม-อคติ-ความเกลียดชัง ก่อให้เกิดผู้ลี้ภัย อึ้ง ปี 68 คนพลัดถิ่นแล้ว 122 ล้านคน!!

1175

กรุงเทพฯ วันที่ 21 มิ.ย. – นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึง วันผู้ลี้ภัยโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 20 มิ.ย. ของทุกปี ว่า จำเป็นต้องเขียนและพูดทุกปีเพราะมุ่งมั่นมากที่จะทำให้ผู้ลี้ภัยหมดไปจากโลกใบนี้ โดยสิ่งที่น่ารังเกียจคือต้นเหตุที่ทำให้ “มนุษย์” กลายสภาพเป็น “ผู้ลี้ภัย” ซึ่งส่วนใหญ่คือ สงคราม ความเกลียดชัง การประหัตประหารเพียงเพราะ การคิดต่าง เห็นต่าง การร่วมกลุ่มทางสังคมบางอย่างด้วยสิทธิและเสรีภาพที่มันไม่ไปขัดแย้งใคร แต่กลับถูกประหัตประหาร ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่ทำให้มนุษย์คนหนึ่งเปลี่ยนแปลงจากมนุษย์ธรรมดาอยู่บ้านกับครอบครัวปกติ กลายสภาพเป็นผู้ลี้ภัยได้แค่เพียงชั่วข้ามคืน

“ต้องพึงระวังไว้ครับ เราทุกคนมีโอกาสเป็นผู้ลี้ภัยได้เท่ากันและมันมาถึงเมื่อไหร่เราไม่อาจทราบได้ วันนี้ขออุทิศวันผู้ลี้ภัยโลกประจำปี 2568 เขียนให้ตระหนักถึงปัญหาภัยสงครามที่อาจเกิดขึ้นได้ในบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ความเร่าร้อนทางการเมืองทำให้อคติการเกลียดชังระหว่างคนสองประเทศได้ หากสถานการณ์คุกรุ่นเกิดขึ้น สงครามเกิดขึ้น แน่นอนครับจะมีผู้พลัดถิ่นทันที ทั้งเป็นผู้พลัดถิ่นภายในประเทศและอาจมีผู้ลี้ภัยได้บางส่วน ” สส.พรรคเป็นธรรม กล่าว

นายกัณวีร์ กล่าวว่า ขอยืนยันว่าในฐานะที่ทำงานกับผู้ลี้ภัยมามากกว่า 1 ทศวรรษ และเคยใช้ชีวิตในพื้นที่สงคราม ตนไม่อยากเห็นสงครามเกิดขึ้น เพราะเคยเห็นการสูญเสีย น้ำตา การพลัดพราก ความเจ็บปวด และความตายต่อหน้าต่อตา ไม่ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งและเผชิญหน้าจะเป็นอย่างไร สงครามต้องไม่บังเกิด การต่อรอง และเจรจาเท่านั้นที่จะเป็นกลไกการก้าวไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน

นายกัณวีร์ กล่าวว่า อย่าหลงประเด็นและหลงวังวนกับอุปสรรคทางการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศ แล้วคิดถึงแต่เรื่องการเผชิญหน้า อย่าใช้ประเด็นปัญหาดังกล่าวมาสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลัง การเมืองจะเลวทรามอย่างใด ต้องถูกแก้ไขด้วยกลไกทางการเมืองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การเมืองระหว่างประเทศคือการชิงไหวชิงพริบ การชิงจังหวะและโอกาสต่อกัน “ประเทศที่น่าเกลียดก็จะใช้เครื่องมือน่าเกลียดต่อกรกับทุกคนในเวทีโลก แต่เราไม่สามารถประณามคนอื่นๆ ในเวทีโลกได้ทั้งสิ้น เราต้องระมัดระวังตัวในเวทีโลกให้มาก เพราะการเมืองระหว่างประเทศ คือ การได้มาซึ่งสิ่งที่ประเทศหนึ่งต้องการเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติตน ดังนั้นต่างคนต่างหาวิธีในการนำมาซึ่งอำนาจเหนือในเวทีโลก ฟังแล้วเหมือนพวก realist (สัจจนิยม)”

นายกัณวีร์ ระบุว่า การได้อำนาจเหนือไม่ได้หมายความว่าต้องเอาอำนาจทางทหารไปข่มคนอื่นๆ ในเวทีโลกเพียงอย่างเดียว ดังนั้น กลับมาที่บ้านเราระหว่างไทย-กัมพูชา สงครามต้องไม่เกิด พี่น้องบริเวณชายแดนต้องไม่ได้รับผลกระทบ กลับกันต้องได้รับความคุ้มครองและเสริมอำนาจให้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นการแก้ไขปัญหาต้องใช้สะพานเชื่อมระหว่างงานมนุษยธรรม พัฒนาและสันติภาพ ที่เรียกว่า Nexus ก็ขอให้ฝ่ายบริหารทั้ง 2 ประเทศ ช่วยนำไปจัดการโดยด่วน

“ปีนี้เป็นปีที่ จำนวนของ “มนุษย์” ที่ถูกบังคับให้พลัดถิ่นสูงที่สุด 122.1 ล้านคน ซึ่งสาเหตุหลักของการพลัดถิ่นยังคงเป็นความขัดแย้งขนาดใหญ่ สงครามนี่แหละที่พวกเราต้องร่วมกันหลีกเลี่ยง และหากเป็นไปได้ยุติให้มันหมดไปบนโลกใบนี้โดยเร็ว และร่วมกันยุติเหตุผลของการเกลียดชังระหว่างคน กลุ่มคน สังคมและประเทศ ที่อาจเป็นบ่อเกิดให้เป็นชนวนแห่งการสร้างสงครามได้” นายกัณวีร์ กล่าว และระบุว่าวันผู้ลี้ภัยโลกปี พ.ศ.2568 ขอร่วมให้กำลังใจแก่ผู้พลัดถิ่น ขอร่วมแสดงการต่อต้านสงครามทุกรูปแบบ และขอร่วมแสดงการไม่เห็นด้วยกับสงครามข่าวสารข้อมูลและการสร้างอคติระหว่างคน กลุ่มคนและประเทศที่จะเป็นบ่อเหตุแห่งความเกลียดชังและสงครามได้ในที่สุด