“ศุภมาส” เผย สภานโยบาย อว. ให้ปฏิรูปภาคการเกษตรด้วย AI – ผลิตครูสาขาขาดแคลนเพิ่ม 1.7 หมื่นอัตรา-อนุญาต 7 สถาบันวิจัยนำงานไปต่อยอดเชิงพาณิชย์

564

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 16 มิ.ย. น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวภายหลังเป็นประธานในการประชุมสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลายวาระสำคัญ ในการนำศักยภาพด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนและเตรียมพร้อมสำหรับการวางรากฐานอนาคต ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 1.ให้มีการปฏิรูปภาคการเกษตรด้วย AI และนวัตกรรม ได้อนุมัติข้อเสนอการบูรณาการและใช้ประโยชน์ข้อมูลเพื่อพัฒนาการเกษตรด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมอบหมายให้ อว. เป็นกระทรวงหลักในการบูรณาการฐานข้อมูลกับกระทรวงต่าง ๆ ให้มีเอกภาพ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลกลางด้านการเกษตร และพัฒนาต่อยอดไปเป็นเครื่องมืออย่าง “AI Chatbot” เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น อาทิ การพยากรณ์โรคระบาดในพืช การคาดการณ์ภาวะน้ำท่วม-ภัยแล้ง และข้อมูลราคาผลผลิต เพื่อการวางแผนการเพาะปลูกที่มีประสิทธิภาพและสร้างรายได้ที่ขึ้น โดยจะนำร่องในพืชเศรษฐกิจอย่างข้าวและพืชสำหรับเลี้ยงสัตว์

รมว.อว. กล่าวว่า 2.การสร้างครูคุณภาพเพื่อพัฒนาท้องถิ่น โดยเห็นชอบ “โครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2569 – 2582)” เพื่อผลิตบัณฑิตครูคุณภาพสูงในสาขาที่ขาดแคลนและตรงตามความต้องการของพื้นที่ โดยมีเป้าหมายในการบรรจุข้าราชการครูจำนวน 17,392 คน โครงการนี้จะเน้นการสร้างครูที่มีทักษะและสมรรถนะสูงผ่านหลักสูตรที่เน้นการปฏิบัติจริงใน “โรงเรียนฝึกหัดครูเพื่อร่วมพัฒนาวิชาชีพ (TTS)” ซึ่งจะช่วยยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของผู้เรียนให้ทัดเทียมนานาชาติ และ

และ 3.การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับงานวิจัยและนวัตกรรม โดยอนุมัติหลักการให้ 7 สถาบันวิจัยชั้นนำของประเทศ อาทิ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์กรมหาชน) (สดร.) และ สำนักงานพัฒนาเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) สามารถนำทรัพย์สินทางปัญญาไปร่วมลงทุนต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งจะเป็นปลดล็อกศักยภาพของงานวิจัยไทยให้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและเกิดการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนด้านเทคโนโลยีได้

น.ส.ศุภมาศ กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบความก้าวหน้าของโครงการสำคัญต่าง ๆ ที่จะตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ซึ่งมีทั้งด้านเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีความก้าวหน้าของโครงการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านเชมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นสูง ซึ่งมีเป้าหมายผลิตกำลังคนสมรรถนะสูงกว่า 85,500 ภายในในปี 2573 รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ การพัฒนาทักษะด้าน AI โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวง อว. กับบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ในการพัฒนาทักษะด้าน AI ให้กับคนไทย โดยตั้งเป้าสร้างนักพัฒนา 50,000 คน และผู้ใช้งานขั้นพื้นฐานอีกอย่างน้อย 100,000 คน ซึ่งขณะนี้ได้บรรจุหลักสูตรไมโครซอฟท์เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาศึกษาทั่วไป ในมหาวิทยาลัยด้วย

รวมถึงการยกระดับการผลิตเอทานอลที่ยั่งยืน เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) และอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) และการเตรียมมาตรการเชิงรุกในการดูแลนักเรียนและนักวิจัยไทยในต่างประเทศ รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าในการเตรียมจัดงานประชุมวิชาการเพื่อเฉลิมฉลองความร่วมมือ 50 ปี ไทย – จีน ซึ่งเน้นย้ำความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างสองประเทศ ผ่านการจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือหรือศูนย์วิจัย Joint Lab ไทย-จีน โดยเฉพาะในด้านอวกาศและปัญญาประดิษฐ์ เช่น Remote Sensing Data Center ระหว่าง China National Space Administration (CNSA) และ GISTDA และการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้าน AI เป็นต้น

“ผลของการประชุมครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลพร้อมจะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยงานวิจัย นวัตกรรม และกำลังคนที่มีคุมภาพ เป็นกลไกหลักในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้จริง” น.ส.ศุภมาส กล่าว