“อนุดิษฐ์” เตือนไทยอย่าหลงกลยั่วยุกัมพูชา ชี้หากเดินเกมพลาดอาจเสียทั้งดินแดน และผลประโยชน์มหาศาลในอ่าวไทย

503

กรุงเทพฯ วันที่ 8 มิ.ย. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม (กธ.) อดีตหัวหน้านักบินเครื่องบินรบ F-16 โพสต์เฟสบุ๊คระบุถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่า เบื้องหลังการยั่วยุ คือกับดักทางยุทธศาสตร์ คนไทยที่รักชาติทุกคน ย่อมมีอารมณ์โกรธและไม่พอใจกับกรณีพิพาท ชายแดนไทย–กัมพูชา แต่ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ข้อพิพาทดินแดนธรรมดา แต่คือการวางหมากกระดาน ระหว่างรัฐขนาดเล็ก กับชาติที่ใหญ่กว่า โดยใช้ “ศาลโลก” เป็นเป้าหมาย และความรู้สึกของประชาชนเป็นเดิมพัน ซึ่งครั้งนี้กัมพูชาเตรียมการมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน หากไทยเดินเกมพลาดแม้แต่ก้าวเดียวอาจไม่ใช่เสีย แค่ ดินแดน แต่อาจเป็นผลประโยชน์มหาศาลในอ่าวไทย ตลอดกาล

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า เหตุที่ต้องใช้วิธีเจรจา เนื่องจากข้อพิพาทระหว่างชายแดนเกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่กรณีช่องบกครั้งนี้แตกต่างกว่าทุกครั้ง เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ของฝ่ายกัมพูชา เกิดขึ้นเป็นขั้นเป็นตอน เหมือนเตรียมการมาอย่างดี เริ่มตั้งแต่พาคนร้องเพลงชาติ เกิดไฟไหม้ศาลามรกต จนถึงเหตุปะทะในวันที่ 28 พฤษภาคม แม้ว่ารุ่งขึ้น (29) ผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ของทั้ง 2 ชาติเจรจากันที่หน้างานทันที ตกลงกันว่า ถอนกำลัง พร้อมใช้กลไก JBC ในการแก้ไขปัญหา ต่างฝ่ายต่างตกลงถอนทหารออกจากจุดปะทะ 200 เมตร แต่เรื่องกลับไม่จบ

“วันต่อมาทางกัมพูชา ไม่ยอมถอนทหารออกจากพื้นที่ เพราะอ้างว่าเป็นจุดที่ถือครองก่อนลงนาม MOU43 ถึงแม้ปัจจุบันกัมพูชายังไม่สามารถพิสูจน์เรื่องเหล่านี้ได้ แต่ก็พยายามข้ามขั้นตอนการเจรจาประเด็นเหล่านี้ในที่ประชุม JBC ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 14 มิ.ย. เพื่อดันเรื่องเข้าสู่ศาลโลก พร้อมกับกล่าวหาว่าไทยเป็นผู้รุกราน และกัมพูชาเป็นผู้ถูกกระทำ การที่กัมพูชายืนยันจะดำเนินการเดินเรื่องถึงศาลโลกนั้น อาจเป็นเพราะเคยชนะคดีเขาพระวิหารมาก่อนถึง 2 ครั้ง แม้กัมพูชาเองจะทราบดีว่า ไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 และความพยายามดำเนินการฝ่ายเดียวของกัมพูชา จะไม่เกิดผลทางกฎหมาย แต่กัมพูชาต้องดำเนินกลยุทธ์อย่างที่ปฏิบัติอยู่นี่แหละ เพื่อยั่วยุ ท้าทาย และปลุกสำนึก “คลั่งสงคราม” ของคนไทยบางกลุ่มที่จุดติดได้ไม่ยาก” ประธานยุทธศาสตร์ระบุ

น.อ.อนุดิษฐ์ เชื่อว่า สิ่งที่กัมพูชาต้องการคือ การปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายไทยต่อกัมพูชา เพื่อจะได้ข้ออ้างว่ามีการปะทะกัน และเสนอเงื่อนไขการหยุดยิงที่ไทยยอมรับไม่ได้ เมื่อตกลงกันไม่ได้ กัมพูชาที่เป็นรัฐเล็กกว่าก็สามารถเชื้อเชิญนานาชาติ และองค์กรระหว่างประเทศ เข้ามาเป็นกรรมการ โดยเป้าหมายสูงสุดก็คือ นำกรณีพิพาทเรื่องดินแดนของทั้ง 2 ประเทศ ไปขึ้นศาลโลก เหตุที่ต้องเป็น ศาลโลก เพราะกัมพูชามีแต่ได้ หากผลตัดสินของศาลโลกออกมาให้ยึด สนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็กลับไปสู่สภาพเดิม กัมพูชาไม่เสียอะไร

“แต่ถ้าศาลโลกเกิดตัดสิน ให้ใช้ระวางแผนที่ของกัมพูชาบางส่วนหรือทั้งหมด คราวนี้แหละจะส่งผลต่อการปักปันเขตชายแดนใหม่ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะพื้นที่ทางทะเลในอ่าวไทย ที่มีแหล่งปิโตรเคมีมูลค่ามหาศาล แถมได้กำไรได้เป็นฮีโร่ของชาติพ่วงเข้าไปอีก เลือกตั้งครั้งต่อไปยังไงก็ชนะ เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่มีอะไรจะเสีย การจับเสือมือเปล่าครั้งนี้เขามีแต่ได้กับได้” อดีตนักบิน F-16 ระบุ

เขายังกล่าวด้วยว่า การยืนยันว่าจะใช้กลไกการเจรจาผ่านการประชุม JBC จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ของไทย โดยเฉพาะหากการเจรจาสามารถนำไปสู่ข้อตกลงร่วมที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ โดยไม่กระทบต่ออำนาจอธิปไตยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เรื่องนี้ก็จะจบไปเหมือนกรณีพิพาทชายแดนที่เกิดขึ้นทุกครั้ง แต่หากยังไม่มีข้อยุติ ฝ่ายไทยก็ยังมีมีมาตรการต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น “มาตรการควบคุมจุดผ่านแดน” ที่กำลังใช้อยู่ขณะนี้

เรื่องนี้จึงไม่ใช่ข้อพิพาทในเรื่องพื้นที่เพียงเท่านั้น แต่เป็นบททดสอบของการทูตเชิงยุทธศาสตร์ของไทย ที่ต้องเดินเกมการเมืองระดับโลก ด้วยความสุขุม รอบคอบ ชาญฉลาด ปราศจากการใช้อารมณ์ โดยคำนึงถึงเหตุและผลตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ที่ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ ข้อพิพาทครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ประเด็น ใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่คือ ใครจะจบเกมนี้ได้ โดยไม่สูญเสียอะไรเลย ซึ่งไทยต้องไม่เล่นตามบทที่เขาวางไว้ และต้องไม่ตกหลุมพรางให้เกิด “เหตุ” เพื่อเปิดทางให้ศาลโลกเข้ามาตัดสินอนาคตของเรา  การเจรจา คือด่านแรกของสติปัญญา หากเรายังไม่สามารถเจรจาให้ชนะได้ ก็อย่าเพิ่งเอาชาติไปเดิมพันในเวทีที่เขาวางกับดักไว้ทุกทางเดิน

“ไทยไม่ใช่ชาติที่ยอมอ่อนข้อให้ใคร แต่ไทยต้องไม่ทำให้ตัวเองกลายเป็นผู้เปิดศึกเพราะอารมณ์ เพราะการทูตที่ชาญฉลาด… คือชัยชนะที่ไม่ต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว” ประธานยุทธศาสตร์ กธ.กล่าว