พรรคประชาชน – วันที่ 25 พฤษภาคม 2568 เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงสถานการณ์ราคากะหล่ำปลีที่ตกต่ำอย่างหนัก ว่า หากดูกราฟความเปลี่ยนแปลงของราคากะหล่ำปีในประเทศไทยตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นมา จะเห็นว่าในช่วงเดือนมกราคม 2567 ราคาตลาดกลางอยู่ที่ 18 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคาหน้าสวนอยู่ที่ 6 บาทต่อกิโลกรัม จากนั้นในช่วงกลางปี 2567 ราคากะหล่ำปลีเพิ่มสูงขึ้น โดยราคาตลาดกลางอยู่ที่ 26-27 บาทต่อกิโลกรัม และหน้าสวนอยู่ที่ประมาณ 8 บาทต่อกิโลกรัม แต่ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 เป็นต้นมา ราคากะหล่ำปลีในประเทศทยตกต่ำลงต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันเดือนพฤษภาคม 2568 ราคาตลาดกลางอยู่ที่ 10-12 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคาหน้าสวนที่เกษตรกรจะได้รับอยู่ที่ 1-2 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น

เลาฟั้งกล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่ทำให้ราคากะหล่ำปลีตกต่ำลงอย่างหนัก เกิดจากปริมาณการนำเข้าที่ล้นทะลักเกินกว่าปริมาณการส่งออก โดยในปี 2567 ประเทศไทยส่งออกกะหล่ำปลีทั้งหมด 12,807 ตัน และนำเข้ามา 9,730 ตัน หรือนำเข้าน้อยกว่าส่งออกประมาณสองพันตัน แต่ในปี 2568 แค่ 3 เดือนแรก (มกราคม – มีนาคม) ประเทศไทยส่งออกกะหล่ำปลีทั้งหมด 1,915 ตัน แต่นำเข้ามาแล้วทั้งสิ้น 11,924 ตัน หรือนำเข้ามากกว่าส่งออกกว่าหมื่นตัน เฉพาะ 3 เดือนแรกไทยนำเข้ากะหล่ำปลีมากกว่าปีที่แล้วทั้งปี ซึ่งถ้าหากแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ต่อไป กะหล่ำปลีที่ผลิตในประเทศไทยจะไม่มีราคาและขายไม่ได้เลย
“ถ้าหากเราสังเกต ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 จนถึงมีนาคมปีนี้ เป็นช่วงที่กะหล่ำปลีในประเทศไทยยังไม่ออกสู่ตลาด แต่ราคาลดลงมาเหลือ 1-2 บาทแล้ว แสดงว่าแม้ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยเราไม่ได้ผลิตกะหล่ำปลี ราคากะหล่ำปลีก็ยังลดลงมากแล้ว นี่เป็นผลพวงจากการนำเข้าในปริมาณที่มาก เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการและจัดการ เพราะถ้าไม่จัดการ เกษตรกรคนที่ปลูกกะหล่ำปลีจะต้องประสบปัญหาหนักแน่ๆ ในเร็วๆ นี้” เลาฟั้งกล่าว

