ที่เชียงราย วันที่ 24 พ.ค. เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนไม่แสวงผลกำไร มีภารกิจมุ่งเน้นงานวิชาการ และสนับสนุนชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษและสารอันตรายให้ได้รับความเป็นธรรม กล่าวภายหลังเข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์หยุดเหมืองแร่ต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเครือข่ายภาคประชาชนในจังหวัดเชียงรายจัดขึ้นที่บริเวณสวนตุง อ.เมือง จ.เชียงราย ว่า มลพิษแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขงเป็นวิกฤตใหญ่และกำลังพัฒนารุนแรงขึ้น เป็นหน้าที่รัฐบาลไทยต้องเสาะหาข้อมูล/ข้อเท็จจริงและประสานการแก้ไขปัญหา ณ แหล่งกำเนิด ซึ่งถือว่ามีความซับซ้อนและไม่ง่าย เนื่องจากเป็นเรื่องระหว่างประเทศที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ขนาดใหญ่

โดย ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวถึงมุมมองของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกนายกรัฐมนตรี ที่เห็นปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องเล็กและแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการทำฝาย หรือเขื่อน ว่า การแก้ปัญหาด้วยวิธีการดังกล่าวอาจทำให้มลพิษยิ่งแพร่กระจาย สร้างความเสียหายอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นคนเชียงราย เชียงใหม่ รวมทั้งคนไทยโดยรวม ในฐานะผู้ได้รับผลกระทบและอยู่ในข่ายจะได้รับผลกระทบต้องร่วมกันใส่ใจและเรียกร้องการแก้ไขปัญหานี้
ก่อนหน้านี้ มูลนิธิบูรณะนิเวศ ร่วมกับ กรีนพีซ และภาคีเครือข่ายในภูมิภาค เรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนเร่งผลักดัน “กรอบสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน” (ASEAN Environmental Rights Framework – AER Framework) ที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อรับมือกับวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนและความไม่เป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค โดยออกแถลงการณ์ร่วม ที่มีข้อเสนอเชิงนโยบายระดับภูมิภาคต่อผู้นำอาเซียน ได้แก่1) ส่งเสริมความมั่นคงและยั่งยืนของธุรกิจในภูมิภาค กระชับและตรวจสอบความร่วมมือธุรกิจข้ามแดนอย่างเข้มงวด เพื่อควบคุมผลกระทบต่อเสถียรภาพและความยั่งยืนของเศรษฐกิจในอาเซียน โดยคำนึงถึงสวัสดิการสังคมและคุณภาพชีวิตประชาชน พร้อมกำหนดภาระรับผิดชอบของธุรกิจต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน

2) เสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน กำหนดให้มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) และประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (TEIA) สำหรับโครงการที่ส่งผลกระทบข้ามชาติ พร้อมให้อำนาจตามกฎหมายแก่รัฐที่บริษัทแม่ตั้งอยู่ในการบังคับใช้มาตรการดังกล่าว 3) เพิ่มการมีส่วนร่วมและความโปร่งใสของประชาชน กำหนดหลักการ ASEAN Protocol on the Right to Know เพื่อคุ้มครองสิทธิในการรับรู้ข้อมูลสิ่งแวดล้อม การเข้าถึงข้อมูล การมีส่วนร่วม และความยุติธรรม พร้อมผลักดันกฎหมายการรายงานและเปิดเผยการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR) และบังคับใช้หลักการตรวจสอบความรอบคอบด้านสิทธิมนุษยชน (HRDD) ตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนและความรับผิดชอบของอุตสาหกรรม
4) รักษาสันติภาพและส่งเสริมความหลากหลายทางสังคมอย่างยั่งยืน ให้ความสำคัญกับความหลากหลายของชาติพันธุ์ ชนพื้นเมือง และกลุ่มผู้เปราะบาง รวมทั้งสนับสนุนบทบาทของชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นในฐานะแนวหน้าผู้ปกป้องสิ่งแวดล้อมและรักษาความมั่นคงทางสังคมในภูมิภาค และ 5) ปรับปรุงกรอบสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมของอาเซียนให้มีผลผูกพันทางกฎหมาย จัดตั้ง ASEAN Environmental Rights (AER) ที่เป็นกรอบกฎหมายผูกพันสมาชิก เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง สามารถบังคับใช้ได้ และแก้ไขปัญหาสารพิษข้ามพรมแดนที่เป็นอันตราย เช่น กรณีเหมืองแรร์เอิร์ธในเมียนมา พร้อมปรับ ASEAN-China Environmental Cooperation Strategy ให้มีมาตรการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน

ด้าน รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์ จาก กรีนพีซ ประเทศไทย หนึ่งในตัวแทนจากประเทศไทยเข้าร่วมพูดในเวทีคู่ขนานของภาคประชาสังคม (ASEAN Peoples’ Forum) กล่าวว่า “วันนี้อาเซียนไม่สามารถเพิกเฉยต่อเสียงของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดนได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นพิษจากการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน หรือน้ำปนเปื้อนสารเคมีจากเหมืองในรัฐฉานที่ไหลลงแม่น้ำกกในไทย เราเห็นชัดว่า เส้นเขตแดนทางภูมิศาสตร์ไม่อาจหยุดยั้งมลพิษที่ส่งตรงถึงปอดและแหล่งน้ำของผู้คน ถึงเวลาแล้วที่อาเซียนต้องยึดหลัก ‘ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย’ ในการกำหนดภาระรับผิตของการประกอบธุรกิจและผลกระทบข้ามพรมแดน เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบ และผลักดันให้เกิดความรับผิดชอบร่วมกันต่อสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคของเรา”
ขณะที่เพ็ญโฉม กล่าวเพิ่มเติมว่า “ภูมิภาคอาเซียนกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการพัฒนาอุตสาหกรรม การเสริมสร้างระบบที่โปร่งใสในการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษและสารพิษ ตลอดจนการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน จึงเป็น กุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายที่ยึดหลักความยุติธรรมและยั่งยืน ความร่วมมือระดับภูมิภาคในด้านสิ่งแวดล้อมควรคำนึงถึงผลกระทบที่แท้จริงต่อชีวิตผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่แนวหน้าในการรับความเสี่ยง”
ขอบคุณภาพประกอบจาก Greenpeace และ ThaiPBS

