กรุงเทพฯ วันที่ 16 พ.ค. นางสาวปณิตา ชินวัตร รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) ประจำเดือนมีนาคม 2568 ว่าอยู่ที่ระดับ 51.5 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.1 ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2568 สาเหตุสำคัญมาจากภาวะกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว ประกอบกับโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท (ระยะที่ 2) ยังไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคได้ในระยะสั้น นอกจากนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงต่อเนื่อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการภาคการค้าและภาคการบริการ ขณะที่ภาคการเกษตรมีความกังวลต่อทิศทางราคาผลผลิตในตลาดหลายรายการที่ปรับลดลง และในบางพื้นที่ยังได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ โดยเหตุแผ่นดินไหวล่าสุดยิ่งตอกย้ำความเปราะบางของภาคธุรกิจรายย่อยในระดับภูมิภาค ในทางกลับกันภาคการผลิตมีสัญญาณฟื้นตัว โดยเริ่มเร่งกำลังการผลิตตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม เพื่อเตรียมส่งมอบสินค้าช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นแรงบวกชั่วคราวแต่ยังไม่สามารถเปลี่ยนแนวโน้มของภาพรวมเศรษฐกิจได้ในวงกว้าง
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาองค์ประกอบดัชนี พบว่า ด้านปริมาณการผลิต/การค้า/บริการ ทรงตัวที่ระดับ 56.0 เป็นระดับ 56.1 เนื่องจากเริ่มเข้าใกล้เทศกาลสงกรานต์ ธุรกิจส่วนใหญ่เร่งการผลิตก่อนถึงช่วงวันหยุดยาว นอกจากนี้องค์ประกอบด้านต้นทุนรวม (ต่อหน่วย) ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 40.7 เป็นระดับ 41.2 ขณะที่ด้านคำสั่งซื้อโดยรวมปรับลดลงจากระดับ 58.8 อยู่ที่ระดับ 57.1 ด้านการลงทุนโดยรวมปรับลดลงจากระดับ 50.6 อยู่ที่ระดับ 50.2 ด้านกำไรปรับจากระดับ 56.3 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 54.7 และด้านการจ้างงานปรับลดลงจากระดับ 50.5 อยู่ที่ระดับ 49.9 สะท้อนให้เห็นภาวะเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่เศรษฐกิจจะคึกคักก็ตาม
นางสาวปณิตากล่าวว่า สำหรับดัชนี SMESI รายภาคธุรกิจ ประจำเดือนมีนาคม 2568 เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า ภาคการผลิตมีระดับความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 47.9 เป็นระดับ 50.6 โดยเฉพาะการผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอ ในขณะที่กลุ่มการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกและผลิตภัณฑ์จากยาง ขยายตัวจากการเร่งส่งออกของคู่ค้ารายใหญ่ เช่นเดียวกับกลุ่มการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ ขณะที่ภาคธุรกิจอื่น ๆ ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะภาคธุรกิจการเกษตรปรับลดลงมากที่สุดจากระดับ 50.5 ลงมาอยู่ที่ระดับ 48.7 หลังสิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยว ราคาสินค้าเกษตรสำคัญหลายชนิดยังอยู่ในทิศทางอ่อนตัวต่อเนื่องรองลงมาคือภาคการบริการปรับตัวลดลงจากระดับ 53.4 ลงมาอยู่ที่ระดับ 52.0 ซึ่งระดับความเชื่อมั่นปรับลดลงต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจีนและมาเลเซียที่ลดลง ส่วนภาคการค้าอยู่ที่ระดับ 52.0 ปรับลดลงจากระดับ 54.5 ของเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากการแผ่วลงของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เช่น โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่ยังกระตุ้นกำลังซื้อได้ไม่เต็มที่ ส่งผลต่อกลุ่มค้าปลีก เป็นต้น

รักษาการ ผอ.สสว. กล่าวว่า สำหรับดัชนี SMESI รายภูมิภาค ประจำเดือนมีนาคม 2568พบว่า ภาคใต้ อยู่ที่ 50.9 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.3 และลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามกำลังซื้อที่ยังอ่อนตัวจากผู้บริโภคในพื้นที่ ซึ่งการจับจ่ายช่วงเดือนรอมฎอนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และจำนวนนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียที่ลดลง เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 50.7 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.5 จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชะลอตัว และแรงกดดันจากสถานการณ์แผ่นดินไหว ภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 50.1 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.1 โดยเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แม้ภาคการผลิตยังมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศอยู่บ้าง แต่ยอดขายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมภายในประเทศยังชะลอตัว โดยเฉพาะในกลุ่มโรงงานที่พึ่งพาการส่งออกซึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนและความไม่แน่นอนทางการค้า
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 53.2 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 53.5 ตามทิศทางเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ยังซบเซา โดยเฉพาะภาคบริการ ธุรกิจการเกษตร และการค้า ซึ่งยังไม่ตอบสนองต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน ขณะที่ภาคการผลิตบางกลุ่ม เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติก ยังได้รับอานิสงส์จากคำสั่งซื้อในกลุ่มลูกค้า B2B ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าอุปโภคบริโภค ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 51.8 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.1 จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงต่อเนื่อง รวมถึงสถานการณ์แผ่นดินไหวในบางพื้นที่ และการแผ่วของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่เมืองรอง ภาคกลาง อยู่ที่ 51.3 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.6 ความเชื่อมั่นในภาคกลางอ่อนตัวลงตามกำลังซื้อที่ชะลอในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ภาคเกษตรเผชิญผลผลิตลดลงและราคาสินค้าเกษตรหลักตกต่ำต่อเนื่อง
น.ส.ปณิตา กล่าวว่า สำหรับดัชนี SMESI คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ประจำเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 54.7 ซึ่งปรับลดลงจากระดับ 55.6 จากที่คาดการณ์ไว้ โดยมีสาเหตุจากความไม่ชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ระยะถัดไป ในด้านระยะเวลา วิธีการโอน และกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับสิทธิ์ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่รอคอยอานิสงส์จากนโยบายรัฐโดยตรง นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อผู้ประกอบการ SME ภาคการผลิตที่มีตลาดส่งออกเป็นสำคัญ สะท้อนความเปราะบางจากปัจจัยภายนอกที่ผู้ประกอบการยังไม่สามารถควบคุมได้

อย่างไรก็ดี จากเหตุแผ่นดินไหวในปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลายภาคส่วนโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มหดตัวแม้ว่าจะเริ่มเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ที่ปีนี้มีระยะวันหยุดยาวหลายวัน และในหลายพื้นที่มีจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลสงกรานต์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้กำลังซื้อในประเทศที่หายไปอย่างชัดเจนในหลายภาคธุรกิจ ไม่มีการจ้างแรงงานใหม่เพิ่มเติม ดังนั้นสิ่งที่ SME ยังคงต้องการความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐคือ การสร้างรายได้ให้กับผู้บริโภคผ่านการลงทุนให้เกิดการจ้างงาน การเร่งออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ตรงจุดในระยะสั้น การดูแลปัจจัยด้านต้นทุนที่อยู่ในระดับสูงควรพิจารณามาตรการบรรเทาต้นทุนในกลุ่มวัตถุดิบอาหารและปัจจัยทางการเกษตร แม้ต้นทุนน้ำมันจะเริ่มทรงตัว รวมถึงผู้ประกอบการยังคงประสบปัญหาด้านสภาพคล่องจากภาระหนี้เดิม ขณะที่การเข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ในระบบยังไม่ทั่วถึงเพียงพอ จึงมีความต้องการให้มีมาตรการสนับสนุนทางการเงินที่ตรงจุดและตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจมากขึ้น
ทั้งนี้ สสว. ยังคงมีมาตรการความช่วยเหลือและที่ปรึกษาเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำกับผู้ประกอบการที่ต้องการความช่วยเหลือ ผ่านhttps://coach.sme.go.th/ หรือ Application ‘SME Connext’ ที่รวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ รวมถึงบริการต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจร ซึ่งตั้งอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่ สสว. Call Center โทร. 1301

