“ มักจะได้ยินคำกล่าวในทำนองที่ว่า”คงไม่มีใครหรอก ที่มีความสุขแล้วขึ้นโรงพัก ต้องมีทุกข์ถึงมา พวกเราต้องคิดเสมอว่าเขาเป็นญาติเรา ต้องคลายทุกข์ให้เขาโดยเร็ว เป็นตำรวจต้องช่วยประชาชน”จากปากผู้นำสำนักปทุมวันทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ชื่อ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์
“

เป็นคำกล่าวที่ทำให้ประชาชนที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม มีความรู้สึกที่มากด้วยความหวังว่าจะได้รับการบริการที่ดีจากตำรวจทุกโรงพัก แต่ด้วยตำรวจเป็นองค์กรใหญ่มีบุคลากรเกือบสามแสนนายแถมมีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย ย่อมที่จะมีตำรวจที่ออกนอกลู่นอกทางบ้างเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่อย่าไปเอื้อให้กับผู้ต้องหาจนทำให้ผู้เสียหายเกิดความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
โดยมีตัวอย่างของความเสียหายคนหนึ่งเล่าว่ารวมตัวกันกว่า 20 คน เข้าแจ้งความร้องทุกข์ กับพนักงานสอบสวน สภ.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.แก้วตา อดีตพนักงานโรงแรมระดับห้าดาวบน เกาะสมุย ฐานล่อลวงและฉ้อโกง
“พวกเรากว่า 20 คนติดต่อกับ น.ส.แก้วตาฯ เพื่อซื้อตั๋วเครื่องบินในราคาพิเศษบินทั้งในและนอกประเทศ ช่วงแรกซื้อแล้วสามารถบินได้จริง ราคาจะถูกกว่าปกติถึง 50 เปอร์เซ็นต์ โดย น.ส.แก้วตาอ้างว่าเป็นตั๋วราคาพิเศษสำหรับพนักงานในสนามบิน ซึ่ง น.ส.แก้วตาอ้างว่าสนิทสนมกับบุคลในสนามบิน สามารถซื้อตั๋วในราคาดังกล่าวได้ มีเงื่อนไขว่าสามารถใช้บินเมื่อไหร่ก็ได้ภายปี 2569 แต่ต้องไม่ใช่ช่วงเทศกาล”ผู้เสียหายระบาย
และกลุ่มเสียหายหลงเชื่อ ประกอบมีบุคคลที่ใกล้ชิดยืนยันว่าสามารถใช้ได้จริง จึงสั่งซื้อตั๋วผ่าน น.ส.แก้วตาไปจำนวนมาก ต่อมาต้องการใช้ตั๋วไม่สามารถติดต่อได้ จึงรวมตัวกันเข้าแจ้งความข้อหาฉ้อโกงประชาชน มีผู้เสียหายประมาณ 50 คน มูลค่าความเสียหายหลายล้านบาท
ผู้เสียหายคนเดิมระบุอีกว่ามีผู้เสียหายบางส่วน ไปแจ้งความไว้ที่ตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎรธานี และที่สถานีตำรวจนครบาลบางเสาธงกรุงเทพฯ ทั้งสองแห่งตำรวจให้บริการเป็นอย่างดี มีการส่งหมายเรียก น.ส.แก้วตา ไปที่โรงพักบ่อผุดถึงสองครั้ง แต่ น.ส.แก้วตาไม่ได้รับหมายเรียก
“ผู้เสียหายเกิดความสงสัยจึงไปติดตามสอบถามที่ สภ.บ่อผุด ได้คำตอบจากตำรวจที่โรงพักว่ายังไม่ได้รับหมายเรียกเพื่อส่งให้ น.ส.แก้วตา เมื่อผู้เสียหายนำหลักฐานการส่งหมายไปแสดง จึงยอมรับและค้นหมายเรียกเจอพร้อมยืนยันว่าจะส่งหมายให้”ผู้เสียหายบอกและว่าไม่แน่ใจว่าหมายเรียกจะส่งถึงน.ส.แก้วตาหรือไม่ เพราะน.ส.แก้วตาไม่ได้เดินทางไปพบพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด ซึ่งตำรวจควรจะออกหมายจับ แต่ยังไม่มีความเคลื่อนไหว
ผู้เสียหายบอกอีกว่ามีความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ทางผู้เสียหายที่อยู่ เกาะสมุย ช่วยกันหาข้อมูล เส้นทางการโอนเงินของ น.ส.แก้วตา พบว่ามีการโอนให้กับผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งอย่างสม่ำเสมอแบบผิดปกติ จึงเข้าไปส่องในสื่อโซเซียล พบว่าผู้มีอิทธิพลคนดังกล่าวโพสต์รูปภาพและข้อความว่าสนิทสนมกับตำรวจโรงพักบ่อผุด มีการพบปะสังสรรค์กันบ่อย
“จึงอดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้คดีที่ สภ.บ่อผุด ดำเนินการไปด้วยความล่าช้า รวมถึงไร้การตอบสนองเมื่อตำรวจท้องที่อื่นขอความร่วมมือไป”ผู้เสียหายระบุ
เนื้อหาที่นำเสนอนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้เสียหายเพียงฝ่ายเดียวพร้อมกล่าวหาว่าตำรวจโรงพักบ่อผุด เอื้อประโยชน์ให้กับผู้ต้องหา เนื่องผู้ต้องหามีความใกล้ชิดกับผู้อิทธิพลที่มีสัมพันธ์ที่ดีกับนายตำรวจบางนายของโรงพักบ่อผุด
ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรล้วนแต่ต้องรอการพิสูจน์จากตำรวจ สภ.บ่อผุด ถ้าเนื้อหาที่ผู้เสียหายเล่ามาไม่เป็นความจริง คงจะได้เห็นการส่งหมายเรียกจากที่อื่นถึงมือ น.ส.แก้วตา โดยเร็วแล้ว รวมคดีที่ผู้เสียหายกว่า 20 คนเข้าแจ้งความที่ สภ.บ่อผุด คงคืบหน้าถึงขั้นที่จะจับกุมผู้ต้องหาส่งดำเนินคดีได้แล้ว
คำถามเหล่านี้ ผกก.สภ.บ่อผุด น่าจะมีคำตอบให้กับเสียหายได้ในเร็ววัน แต่ถ้าผู้เสียหายยังหาคำตอบไม่เจอหรือไม่ได้ยินคำชี้แจงความคืบหน้าของคดี ต้องฝากถึงผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ช่วยกระตุ้นและทำความจริงให้กระจ่างด้วย
อย่างน้อยจะช่วยสานปณิธานของพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ที่อยากให้ตำรวจโรงพักบริการประชาชนอย่างเต็มใจให้สมกับคำกล่าวที่ว่า”มีทุกข์ถึงมาโรงพัก ตำรวจมีหน้าที่คลายทุกข์ให้เร็ว” !!!
