“ นับแต่ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ถล่ม ส่งผลให้คนสังคมไทยตื่นตัวรับรู้ถึงการทุจริตคอรัปชั่นในแวดวงราชการและการเมืองมากขึ้นกว่าเดิม“

แม้ที่ผ่านมาชาวบ้านต่างทำใจยอมรับว่าทุกหน่วยงานในประเทศไทย เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่นของ ผู้มีอำนาจในรัฐบาล นักการเมืองและข้าราชการ
แต่พอเกิดเหตุตึก สตง.ถล่มทำให้ความรู้สึกสิ้นหวังหนักกว่าเดิม เพราะแม้แต่องค์กรที่ตรวจสอบผู้อื่นกลับมีปัญหาการทุจริตฯเสียเองเข้าทำนองว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
จึงไม่แปลกในช่วงนี้มีบรรดาผู้รู้ทั้งหลายรวมถึงชาวบ้านทั่วไปแสดงความเห็นด้วยความเป็นห่วงถึงสถานการณ์การบังคับใช้กฎหมายของประเทศที่มากด้วยการเลือกปฏิบัติ
บางคนแสดงความเป็นห่วงว่าจะยกตัวอย่างการบังคับใช้กฎหมายแบบไหนสอนลูกให้ยึดถือปฏิบัติในอนาคตได้ เพราะสิ่งที่สอนให้ลูกยึดถือคือความถูกต้อง ยึดกฎระเบียบที่คนในสังคมส่วนใหญ่ปฏิบัติตาม แต่เมื่อเจอเหตุการณ์ตึกสตง. ไม่รู้ว่าจะบอกลูกอย่างไรเพราะสาเหตุหลักมาจากการทุจริตผ่านมากว่า1เดือนยังหาคนรับผิดชอบไม่ได้ หรือกรณีสำนักงานประกันสังคมใช้เงินกว่า 7,000 ล้านซื้อตึกสูงเกินจริงมีวาระซ่อนเร้นยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใช้เงินของผู้ใช้แรงงานโปร่งใสหรือไม่ ?
หรือกรณีเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)กลายเป็นประเด็นที่สังคมมั่นใจว่ามีการทำผิดกฎหมายอย่างแน่นอน แต่ไม่สามารถที่จะเอาผิดใครได้ กระทั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)รับเป็นคดีพิเศษข้อหาฮั้วเลือกตั้งและฟอกเงิน แต่สังคมต่างตั้งข้อสังเกตว่าสอบเพื่อเอาผิดจริงๆหรือสอบไว้เพื่อเป็นเกมต่อรองทางอำนาจ เพราะต่างทราบกันดีว่าสว.กลุ่มนี้มีนักการเมืองใหญ่เป็นแบ๊คโดยเป็นผู้วางแผนด้วยการใช้ช่องว่างของกฎหมายดำเนินการชนะเลือกตั้งหวังกุมอำนาจสภาสูง และผู้อยู่เบื้องหลังให้สอบมีกำลังภายในเหนือรัฐบาล
จากตัวอย่างที่ยกมาพอประเมินได้ว่า การบังคับใช้กฎหมายเต็มไปด้วยการเลือกปฏิบัติเพราะผู้เกี่ยวข้องล้วนเป็นบิ๊กแนมทั้งแวดวงการเมืองและราชการ ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัตินี้ มิได้เกิดขึ้นในหมู่นักการเมืองใหญ่และข้าราชการระดับสูงเท่านั้น แต่ลามไปถึงนักการเมืองท้องถิ่นและข้าราชการปลายแถวแล้ว
ขอยกตัวอย่างล่าสุดเป็นข่าวเล็กๆสื่อออนไลน์นำเสนอ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมว่า ยายของผู้หญิงอายุ 19 ปี ร้องกับสื่อมวลชนว่า หลานสาวถูก จ่าสิบตรี สังกัดกรมทหารปืนใหญ่ จ.กาญจนบุรี 2 นาย ฉุดขึ้นรถไปบ้านพัก ใช้กำลังพยายามข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศ ขณะเล่นสงกรานต์ เมื่อวันที่ 17 เมษายน เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.ลาดหญ้า ผ่านมา 2 สัปดาห์ คดีไม่มีความคืบหน้า
ยายผู้เสียหายเล่าว่าตำรวจเรียกผู้ก่อเหตุมาพบถึง 3 ครั้ง แต่ทั้งสองบ่ายเบี่ยงไม่ยอมเดินทางมาพบ จึงไม่สามารถพูดคุยสอบถามดำเนินการใดๆได้ ทำให้ตนและหลานสาวรู้สึกร้อนใจและไม่มั่นใจในความปลอดภัย เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นทหาร
ข่าวระบุว่าทางผู้ก่อเหตุทั้งสองเข้าพบพนักงานสอบสวนพร้อมนายทหารซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา มียายของผู้เสียหายเข้าไปคุยกับผู้บังคับบัญชาของทหาร เบื้องต้นได้ข้อสรุปว่าผู้บังคับบัญชาสั่งให้ผู้ก่อเหตุทั้งสองนายรับผิดชอบเยียวยาให้ผู้เสียหาย ความผิดอาญาสั่งขังผู้ก่อเหตุทั้งสองนาย ตัดเงินบำเหน็จรวมถึงพิจารณาลงโทษที่เหมาะสมต่อไป
หากใครได้ติดตามข่าวจะเจอความเห็นท้ายข่าวจำนวนมากในทำนองว่า การบังคับใช้กฎหมายแบบนี้ทำได้ด้วยหรือ ทหารทำผิดอาญาไม่ถูกดำเนินคดีและขังคุกพลเรือนหรือ ? ผู้บังคับบัญชาทหารพิจารณาโทษอาญาเองได้ด้วยหรือ? บางความเห็นบอกว่าผิดแบบนี้ต้องไล่ออก หรืออีกความเห็นบอกว่า คดีอาญาร้ายแรงนะ แต่ประเทศไทยอะไรก็เป็นไปได้
ที่”จอมมารน้อย”ยกประเด็นการบังคับใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัตินำเสนอ เพียงเพื่อสื่อสารไปถึงผู้มีอำนาจทั้งหลายที่กำหนดชะตากรรมของประเทศได้ ว่าการบังคับใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติหรือใช้ช่องว่างทางกฎหมายเพื่อเอาตัวเองรอดและให้พ้นผิด มิได้เกิดขึ้นในหมู่นักการเมืองเลวและข้าราชการชั่ว ระดับสูงเท่านั้น แต่ได้ซึมลึกลงไปถึงระดับปลายแถวแล้ว
ซึ่งตัวอย่างคดีทหารล่วงละเมิดทางเพศเด็กสาวเป็นเพียงหนึ่งในล้านที่สะท้อนถึงการบังคับใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติ หากว่าผู้มีอำนาจที่กุมชะตาประเทศทั้งหลายยังวางเฉยปล่อยผ่าน โดยไม่มีมาตรการอะไรออกมาเพื่อลงโทษผู้บังคับใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติ ทำนายอนาคตได้เลยว่าไม่นานสังคมไทยเดินสู่ความหายนะแน่นอน !!!


