กรุงเทพฯ วันที่ 21 เม.ย. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า กรมการค้าต่างประเทศ เตรียมจัดงานประชุมข้าวนานาชาติ Thailand Rice Convention 2025 (TRC 2025) ครั้งที่ 10 ในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ณ โรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ คาดมีผู้นำเข้าข้าวระดับโลกเข้าร่วมหลายร้อยราย และสร้างมูลค่าคำสั่งซื้อไม่น้อยกว่าแสนตัน หรือกว่า 2,000 ล้านบาท ภายใต้ธีม “GLOBAL RICE FROM THAI LEGACY” ที่เผยให้เห็นถึงการสอดประสานระหว่างรากฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของข้าวไทย กับวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ด้านข้าวสมัยใหม่ของประเทศ
นายพิชัย กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มุ่งเน้นนโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” เพื่อให้เกษตรกรไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เสริมสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยของข้าวไทย พร้อมทั้งยกระดับภาพลักษณ์ในตลาดโลก โดยได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศจัดประชุม TRC 2025 เพื่อเป็นเวทีเชื่อมโยงระหว่างผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และเกษตรกรไทย

“ผมอยากเห็นความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยดีขึ้นควบคู่กับคุณภาพข้าวที่เพิ่มขึ้น หากข้าวมีคุณภาพ ผลตอบแทนต่อไร่ก็ดีขึ้น เกษตรกรก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น รัฐบาลโดยท่านนายกฯ กำชับชัดเจนว่า ต้องเน้นตลาดนำ ใช้นวัตกรรมเสริม เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นกับชาวนา ผมเดินทางไปประเทศไหน ทุกคนก็พูดถึงข้าวไทย แม้ราคาจะสูงกว่า แต่คุณภาพข้าวหอมมะลิไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก เราต้องทำให้ข้าวขาวมีผลตอบแทนที่สูงขึ้นเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งมองหาตลาดใหม่ๆ อยู่เสมอ” รมว.พาณิชย์ กล่าว
ที่ผ่านมา ตนได้มอบหมายให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีเดินทางไปแอฟริกาใต้พร้อมทีมงาน ซึ่งสามารถเจรจาขายข้าวไทยได้มากกว่า 400,000 ตัน เป็นการเปิดตลาดใหม่ในทวีปแอฟริกาซึ่งมีศักยภาพและประชากรจำนวนมาก สำหรับ TRC 2025 ครั้งนี้อยากให้ทุกภาคส่วนมาร่วมคิดร่วมกันว่าจะพัฒนาข้าวไทยให้มีคุณภาพพิเศษเฉพาะ เป็นที่นิยมทั่วโลกได้อย่างไร เพื่อให้เกิดการค้าขายเพิ่มขึ้น และเกษตรกรมีรายได้มากขึ้น

“นอกจากนี้ เรายังผลักดันแนวคิด Food Storage ให้ไทยเป็นแหล่งความมั่นคงด้านอาหารของโลก โดยมีการหารือกับหลายประเทศ เช่น ในตะวันออกกลาง ยูเออี กาตาร์ โอมาน รวมทั้งอิสราเอลและสิงคโปร์ ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และสิ่งที่ผมอยากเห็น ‘ข้าวพร้อมรับประทาน’ (Ready-to-eat) เป็นสินค้า Thailand Next Level เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่” นายพิชัยระบุ
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า แม้จะได้รับผลกระทบจากการที่อินเดียกลับมาส่งออกข้าวและลดราคาค่อนข้างมาก แต่เราต้องทำให้ข้าวไทยมีความแตกต่าง มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว เพื่อรักษาราคา และสร้างภาพจำให้ผู้บริโภคทั่วโลกว่า “คิดถึงข้าว คิดถึงประเทศไทย” โดยในภาพรวมการส่งออกไทยยังดี โดยเฉพาะในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หากไม่เจอประเด็นนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา การส่งออกจะเป็นพระเอกของเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน เพราะเดือนมกราคมที่ผ่านมาการส่งออกโต 13.6% กุมภาพันธ์โต 14% และมีนาคมมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง

ด้านนางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า งาน TRC 2025 ปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 500 ราย จากทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงผู้แทนภาครัฐ ผู้นำเข้าและผู้ส่งออก หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเกษตรกรตัวแทนจากกลุ่มอาชีพภาคเกษตร โดยมีกิจกรรมสำคัญ อาทิ การเสวนา บรรยาย นิทรรศการประชาสัมพันธ์ข้าวไทย การตรวจสอบมาตรฐานและตรารับรองข้าวหอมมะลิไทย (ตราเขียว) การจัดแสดงพันธุ์ข้าว การชิมข้าว และการสาธิตทำอาหารจากข้าวไทย รวมถึงการนำเสนอแนวทางความยั่งยืนของอุตสาหกรรมข้าวไทยที่สอดคล้องกับธีมงาน นอกจากนี้ ยังมีการเจรจาธุรกิจระหว่างผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าคำสั่งซื้อกว่าแสนตัน หรือ 2,000 ล้านบาท พร้อมการหารือกับ Trader รายสำคัญในการขยายตลาดข้าวไทย โดยเฉพาะในแอฟริกาและตะวันออกกลาง
สำหรับสถิติการส่งออกข้าวของไทยในปี 2567 มีปริมาณ 9.95 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 13 ถือเป็นปริมาณสูงสุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2561 สร้างรายได้กว่า 225,656 ล้านบาท (ประมาณ 6,434 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เนื่องจากตลาดโลกมีความต้องการสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 18 เมษายน 2568 การส่งออกข้าวไทยอยู่ที่ 2.477 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 19.31 เนื่องจากอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวและสภาพอากาศเอื้อต่อการเพาะปลูกในหลายประเทศ ทำให้ผลผลิตรวมสูงขึ้น ขณะที่ประเทศผู้นำเข้ามีแนวโน้มลดปริมาณนำเข้า
ด้าน ร.ต.ท. เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การจัดงาน TRC 2025 เป็นเวทีสำคัญที่แสดงให้ทั่วโลกเห็นว่า ประเทศไทยคือแหล่งส่งออกข้าวที่มั่นคง ไม่เคยจำกัดการส่งออก เป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือในการเสริมสร้าง Food Security ของโลก พร้อมทั้งเป็นโอกาสที่ดีในการแลกเปลี่ยนข้อมูล นำเสนอนวัตกรรมและพันธุ์ข้าวใหม่ ซึ่งขณะนี้สถานการณ์การค้าข้าวอาจเปลี่ยนแปลงมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ยุค “Trump 2.0” ซึ่งอาจส่งผลถึงต้นทุนขนส่งและโครงสร้างตลาดในอนาคต การประชุมครั้งนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือทุกความเปลี่ยนแปลง

