‘กัณวีร์’ จี้ รัฐบาลหยุดฟอกขาวเผด็จการ ‘มินอ่องหล่าย’ ชี้ทำชื่อเสียงประเทศป่นปี้

191

กรุงเทพฯ วันที่ 17 เม.ย.68 นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงการหารือร่วมกันระหว่างนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน กับ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ผู้นำเมียนมา และนายทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาประธานอาเซียน ที่โรงแรมโรสวุด กรุงเทพมหานคร ว่าให้หยุดสร้างละครคุณธรรมในเวทีโลก ฟอกขาวให้ผู้นำเผด็จการเมียนมา มิน อ่อง หล่าย อาชญากรต่อมวลมนุษยชาติ และสร้างภาพว่าไทยเป็น Peace Broker (นายหน้าสันติภาพ)  ที่เก่งและเหมาะสม สามารถสร้างสันติภาพได้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องกระบวนการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน ชื่อเสียงไทยในเวทีโลกกับประเทศโลกเสรีประชาธิปไตยคงป่นปี้กับการกระทำของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่ไม่รู้เรื่องสถานการณ์ระหว่างประเทศ ดำเนินการทางการทูตที่ผิดพลาด อนุญาตให้ผู้นำเผด็จการทหารเมียนมาเข้าประเทศไทยเป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือน

นายกัณวีร์ กล่าวว่า ไม่แปลกใจ ทำไมรัฐบาลชุดนี้ถึงไม่รู้จักกระบวนการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน เพราะทั้งสถานการณ์ใน จังหวัดชายแดนใต้ก็บริหารเละเทะ เมื่อเอื้อมมือไปยุ่งกับกระบวนการสร้างสันติภาพในประเทศเพื่อนบ้านก็ยิ่งเละ แถมยังทำให้ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ประเทศเสียหายเป็นทวีคูณ

“ถึงจะพยายามหลบเลี่ยงการกระทำในครั้งนี้ ที่มิน อ่อง หล่าย เข้ามาไทยว่าจะไม่เกี่ยวกับรัฐบาลไทย เนื่องจากตัวนายกฯ ไทยจะไม่เข้าร่วมหารือด้วย มันก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกครหาจากเวทีโลกได้หรอกครับ เพราะสถานที่ก็คือประเทศไทย แถมโรงแรมที่จัดก็เป็นธุรกิจครอบครัวนายกฯ ของไทยอีกต่างหาก” สส.เป็นธรรม กล่าว

นายกัณวีร์ ระบุว่า มือรัฐบาลไทยเปื้อนเลือดไปเสียแล้วที่ตัดสินใจจับมือกับผู้นำทหารของเมียนมาคนนี้ที่เข่นฆ่าประชาชนของตัวเองมาอย่างต่อเนื่องและเลือดเย็นตั้งแต่ปี 2564 ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นหลังจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.68 ที่ผ่านมา ผู้นำทหารคนนี้ก็สั่งทิ้งระเบิดทั่วประเทศ และที่มาไทยเมื่อ 3-4 เม.ย. ที่ผ่านมาก็มาหลอกทุกคนว่าได้สั่งหยุดทิ้งระเบิดตามที่ถูกร้องขอไว้แล้ว ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่เคยหยุดแม้แต่วันเดียว ตั้งแต่ 28 มี.ค.หลังแผ่นดินไหว ทหารเมียนมาโจมตีทางอากาศทั่วประเทศทั้งสิ้น 216 ครั้ง ทำคนตาย 151 คน และเจ็บ 269 คน แต่กลับให้เหตุผลว่าการเชิญครั้งนี้เพราะทหารผู้นี้เชื่อฟังและยุติความรุนแรงต่อพลเรือนในประเทศตนเอง

นายกัณวีร์ กล่าวว่า มิน อ่อง หล่าย คือผู้ที่มีหมายจับจากศาลอาร์เจนตินา ประเทศที่ใช้เขตอำนาจศาลสากล (Universal Jurisdiction) ในการออกหมายคดีอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ (Crime against Humanity) ในกรณีการกระทำอันรุนแรงต่อชาวโรฮิงญา ประเทศทั่วโลกที่นับถืออำนาจศาลสากลสามารถจับกุมและดำเนินคดีได้ แต่ไม่ใช่ไทย ซึ่งรัฐบาลชุดนี้จะไม่สามารถทำงานด้านการสร้างสันติภาพใดๆ ได้เลย เพราะไม่สามารถมองข้ามการทำงาน Track 1 คือการทำงานแค่ “รัฐ ต่อ รัฐ (G to G)” ไปได้ ดังนั้นจึงมองไม่เห็นว่าตัวละครที่สำคัญและจำเป็นในการดึงมาร่วมวงการสร้างสันติภาพคือใครจริงๆ จึงมองเพียงแค่การทำงานระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือกรอบความร่วมมือพหุภาคีแบบไม่อ่อนตัว หรือที่มีแค่รัฐเท่านั้นที่เป็นสมาชิกอย่างอาเซียนมาเป็นตัวละครหลักเพียงอย่างเดียว

“ผมเสนอเพียงเท่านี้แค่เรื่องตัวละครที่แท้จริงในการสร้างสันติภาพนะครับ หวังว่ารัฐบาลจะเข้าใจว่าผมพูดอะไร หัดให้ความสำคัญกับสิ่งรอบข้างที่มีความสำคัญไม่แพ้รัฐเสียบ้าง เราไม่ได้อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือสงครามเย็นอีกต่อไปแล้วนะครับ กรอบความร่วมมือพหุภาคีแบบอ่อนตัว (flexible multi-lateral) ต่างๆ และรวมถึงตัวละครที่สำคัญและจำเป็นต้องถูกชวนเข้ามาด้วยครับ”

นายกัณวีร์ กล่าวย้ำว่า รัฐบาลนี้ไม่มีแผนโรดแมป มองยังไม่ออกว่ามีตัวละครอะไรบ้างที่ต้องเข้ามาร่วม แถมยังดื้อรั้นดันทุรังทำในสิ่งที่ไม่สามารถเป็นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนได้เลย อย่าเอาประเทศไทยไปเป็นสิ่งเดิมพันกับความดันทุรังที่ไม่มีแผนงานใดๆ ของคนไม่กี่คน มันกระทบต่อคนทั้งชาติไทยและชาติอื่นด้วย