‘พล.ต.ท.ปิยะ’ ซัด “แพทองธาร” ไร้ภาวะผู้นำ แก้วิกฤตกำแพงภาษีสหรัฐล่าช้า ชี้ส่งเบอร์เล็กไปเจรจาไม่น่าเวิร์ค

117

กรุงเทพฯ วันที่ 6 เม.ย. พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตั้งคณะทำงานพิเศษ (Special Task Force) เพื่อรับมือภายหลังประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศขึ้นกำแพงภาษีว่า รัฐบาลดำเนินการช้ามากในการรับมือกับปัญหาดังกล่าว  เพราะสหรัฐมีท่าทีและนโยบายในการปรับมาตรการทางด้านภาษีและการค้ากับคู่ค้าต่างๆ ตั้งแต่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง  และรับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 แต่รัฐบาลเพิ่งตั้งกูรูมาแก้ปัญหา หรือประสานงาน หลังจากสหรัฐประกาศขึ้นภาษีไปเรียบร้อยแล้ว  จนฝ่ายค้านต้องเรียกร้องให้รัฐบาลตั้งทีมงานแก้ไขปัญหา

“การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ผมมองว่าล่าช้าอย่างมาก สหรัฐอเมริกาประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 แต่รัฐบาลเพิ่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อแก้ไขปัญหานี้ หลังจากที่ฝ่ายค้านกดดัน  เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆไม่ว่าจะเป็นประเทศ จีน เกาหลีใต้และญี่ปุ่นได้มีการเตรียมการ และเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2568 รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมของสามประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้ประชุมร่วมกันเพื่อกำหนดท่าทีรับมือกรณีนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา  ขณะเดียวกัน ประเทศเพื่อนบ้านของเรา  เช่น ประเทศเวียดนามได้แต่งตั้ง นายโฮ ดุค ฟ็อก รองนายกรัฐมนตรี และนายเหวียน ฮอง เตี่ยน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า  ดูแลเรื่องนี้และทราบว่า ได้หารือกับนายเจมิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) มีแนวโน้มจะเลื่อนการใช้ อัตราภาษีอากรใหม่ไปอีกสามเดือน  ส่วนประเทศสิงคโปร์ นายกรัฐมนตรีออกโรงเป็นหัวเรือ ในการแก้ปัญหาเอง  และประเทศอื่นเขารีบไปจับมือไปเจรจา แต่ของเราเหมือนโดดเดี่ยว มีแต่ประเทศไทยประเทศเดียวที่เพิ่งจะรู้ว่าต้องส่งทีมไปเจรจา“พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ศักยภาพทีมเจรจาของไทยที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งในการเดินทางไปเจรจาดูแล้วยัง”อ่อน“เกินไป ถ้าหากเป็นทีมระดับนี้ไปคุยกับทางสหรัฐฯ เขาก็คงไม่ให้น้ำหนักอะไร  โดยปกติการเจรจาระหว่างประเทศจะยึดหลักอธิปไตยและความเสมอภาคของรัฐ(sovereign Eguality of State) กล่าวคือ การเจรจาต้อง เคารพสิทธิ กฎหมายและให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดยถือว่าทุกประเทศเท่าเทียมกัน ถ้าทางไทยส่งเบอร์เล็กไป  ทางสหรัฐเขาจะส่งเบอร์เล็กมาเจรจาด้วย แล้วกี่วันจะประสบผลสำเร็จ ดังนั้นนายกฯ ควรจะต้องจัดทีมใหม่ เอาคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่านี้ และที่สำคัญคือ ควรที่จะเอาคนที่เคยมีความสัมพันธ์หรือคนที่เคยทำงานร่วมกับทางสหรัฐฯ หรือคนที่เขาให้ความเกรงใจมาเป็นตัวหลักในการเจรจา มิเช่นนั้น การเจรจาครั้งนี้จะไม่ได้ผลอย่างแน่นอน ทีมที่นายกฯ ตั้งมาทำงานส่วนใหญ่เป็นทีมซอฟพาวเวอร์ที่ทำงานมาตั้งแต่ 13 กันยายน  2566 แต่ยังไม่เกิดผลลัพท์tอะไรเลย  มีแต่ปลัดกระทรวงพาณิชย์เท่านั้นที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นอกนั้นเป็นข้าราชการระดับต่ำกว่าอธิบดี  ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ เป็นตัวนายกเองหรือรองนายกฯหรือรัฐมนตรี เหมือนไม่ให้เกียรติ  คู่เจรจา  และหวังผลอะไรกับการเจรจา