ที่รัฐสภา วันที่ 26 มี.ค. นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวภายหลังการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่าขอให้ 2 คะแนนสำหรับการชี้แจงของนายกรัฐมนตรี เป็นคะแนนความกล้าที่มาตอบเรื่องการส่ง 40 อุยกูร์ กลับประเทศจีน แต่คำตอบให้คะแนน -8 เพราะยังไม่เห็นนโยบายการต่างประเทศของไทย โดยเฉพาะการวางตัวในการเมืองระหว่างประเทศ ที่ประเทศไทยตัดสินใจเลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งความจริงจะต้องเข้าข้างหลักการสิทธิมนุษยชน และสิทธมนุษยธรรม รัฐบาลควรมีหลักฐานแสดงความสมัครใจกลับประเทศของชาวอุยกูร์ แต่รัฐบาลไม่เคยแสดงหลักฐานความสมัครใจกลับ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อไทยแน่นอน เพราะไทยไม่มีจุดยืนทางการทูตอย่างชัดเจน
“หลังจากนี้อาจนำหลักฐานที่ได้อภิปรายไปร้องต่อ ป.ป.ช. เรื่องละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ของฝ่ายบริหาร รวมถึงภาคประชาสังคมจะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญา ผมก็จะมีการพูดคุยกับครอบครัวชาวอุยกูร์ที่ถูกผลักดันกลับประเทศจีน เนื่องจากได้รับประสานมาจากภรรยาของ 1 ใน 40 คน ที่รัฐบาลส่งไปตั้งถิ่นฐานใหม่ยังประเทศที่สาม ในปี 2558 เขาอยากพูดคุยว่าเหตุใดทำไมสามีจึงหายสาบสูญไปจากประเทศไทย รวมถึงเหตุผลที่ผลักดันสามีกลับประเทศจีน”

นายกัณวีร์ กล่าวว่า เรื่องนี้ก่อให้เกิดผลกระทบขึ้นแล้ว เช่น สหภาพยุโรป ที่ประณามไทย และจะใช้การตกลงการค้าเสรี หรือ FTA มากดดันไทย นอกจากนี้ยังจะมีแรงบีบคั้นจากทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศเข้ามาอีก แม้ประเทศโลกมุสลิมจะยังไม่แสดงท่าที แต่พี่น้องชาวมุสลิมในไทยได้ตั้งคำถามว่าเหตุใดต้องผลักดันชาวอุยกูร์กลับในเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนกำลังถือศีลอด
“รัฐบาลต้องกล้าพูดความจริง อย่าพยายามปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อย่าโกหก การไปพูดคุย ระหว่างนายกรัฐมนตรี และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงไปพูดคุยอะไรกัน มีการดีลเกี่ยวกับคนอุยกูร์ คอลเซ็นเตอร์ และการค้าการลงทุนหรือไม่ หากรัฐบาลพูดความจริงจะทำให้ต่างประเทศเห็นว่าอย่างน้อยรัฐบาลมีความโปร่งใส รวมถึงยอมรับผิดในความผิดพลาด ตัดสินใจผลักดันกลับ หากเป็นประเทศในโลกเสรีประชาธิปไตย ผู้บริหารและคนตัดสินใจต้องยอมรับ และลาออก” นายกัณวีร์ กล่าวย้ำ