‘กัณวีร์’ชี้ มติรัฐสภายุโรปประณามไทยส่งอุยกูร์กลับจีน สะท้อนความล้มเหลวนโยบายต่างประเทศ-การทูตแบบอนุรักษ์นิยม

404

ที่รัฐสภา วันที่ 13 มี.ค.นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงกรณีรัฐสภายุโรปมีมติให้ใช้การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เป็นเครื่องมือกดดันไทยให้ปฏิรูปกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเรื่องการส่งผู้ลี้ภัยอุยกูร์กลับจีน เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักว่า ตนเตือนไปหลายครั้งว่ามันจะมีผลกระทบในเวทีระหว่างประเทศซึ่งกว้างกว่าความสัมพันธ์ไทย-จีน โดยผลกระทบจะมาจากกลุ่มประเทศเสรีประชาธิปไตย และกลุ่มประเทศโลกมุสลิม ปัจจุบันเรากำลังเจรจาข้อตกลงเสรีทางการค้ากับ 27 ประเทศของยุโรป เมื่อรัฐสภายุโรปมีมติเช่นนี้ ไทยจะรับมืออย่างไร “นี่เพิ่งเริ่มต้นนะครับสำหรับผลกระทบบนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มาจากสาเหตุการขาดไร้ซึ่งนโยบายการต่างประเทศที่สอดรับกับโลกศตวรรษที่ 21 มันจะมีอีกครับที่ไทยเราต้องรับผลที่ตัดสินใจบนความไม่รู้ การไม่ถาม และการมีอคติบนการสร้างงานการทูตแบบอนุรักษ์นิยมไทยๆ”

นายกัณวีร์กล่าวว่า เมื่อ 12 มีนาคม ปี 57 เป็นวันที่ไทยเราได้พบชาวอุยกูร์ในสวนยาง อ.รัตภูมิ จ.สงขลา และเป็นวันแรกที่ตนได้พบพวกเขาที่กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 (ตม.6) ด้วยเช่นกัน จนวันนี้ครบรอบ 11 ปี กับอีก 1 วัน ที่ประเทศไทยเราตัดสินใจผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะไม่สามารถตระหนักได้ความจำเป็นที่ต้องมีความรอบรู้ทางการต่างประเทศบนสถานการณ์มนุษยธรรมโลก

“เราผิดพลาดตั้งแต่ปี 2557 ที่รัฐบาลคิดไม่ได้ว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนต่อสถานการณ์ผู้ลี้ภัยควรเป็นอย่างไร แต่กลับใช้ความกังวลและเกรงกลัวทางการทูตระดับทวิภาคี โดยเกรงกลัวอิทธิพลของจีน สั่งระงับความช่วยเหลือจากตุรกีในการส่งเครื่องบินเช่าเหมาลำมาจากอังการ่าเพื่อรับชาวอุยกูร์เกือบ 400 คนไปในปี 2557” นายกัณวีร์ กล่าว และว่า ความผิดพลาดครั้งนั้นมันย้ำเตือนความเป็นการทูตแบบไทยๆ ที่ไม่สามารถมีความคิดนอกกรอบจารีตการต่างประเทศไทยที่เกรงกลัวผลกระทบจากความสัมพันธ์กับมหาอำนาจอย่างจีน จนไม่สามารถสร้างจุดยืนทางการทูตได้อย่างชัดเจน ที่สมควรยึดหลักการที่เป็นกระดูกสันหลังของประเทศเสรีประชาธิปไตย ซึ่งก็คือหลักสิทธิมนุษยชนนั่นเอง

นายกัณวีร์ กล่าวว่า ปี 2558 หลังถูกรัฐประหาร ทหารมีอำนาจ เลยไม่แปลกใจกับการตัดสินใจแบบอนุรักษ์นิยมทหาร ซึ่งไม่สามารถนำมาตรฐานสากลมาปรับใช้กับการต่างประเทศได้ เลยตัดสินใจ “ต่อรองหลักการมนุษยธรรม” โดยการ 1) แยกครอบครัว โดยเอาผู้หญิงและเด็ก จำนวน 173 คนไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ตุรกี และ 2) ผลักดันชาย 109 ชีวิตกลับไปให้จีนอย่างไม่ทราบชะตากรรม แต่ความผิดพลาดไม่ได้มีแค่นั้น การที่ยังอยู่ในกรอบการทูตแบบไทยๆ ไม่สนใจความเคลื่อนไหวในเวทีระหว่างประเทศอะไรทั้งสิ้น เลยตัดสินใจกักผู้ลี้ภัยชายชาวอุยกูร์ 53 ชีวิต ซึ่งมีเด็กรวมอยู่ด้วย ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา จนทำให้มีคนเสียชีวิตจากการถูกกักเป็นจำนวน 5 คน เป็นเด็ก 3 ขวบ 1 คน กับ 2 วันอีก 1 คน เพราะสภาพความเป็นอยู่ในห้องกักมันไม่เหมาะกับการอยู่ระยะยาว

ในช่วงตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ทั้งจีนและประเทศที่สนใจรับชาวอุยกูร์ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่ 3 ได้เข้าพบส่วนราชการไทยที่เกี่ยวข้อง ทั้ง สมข. และ กต. แสดงเจตจำนงค์รับอุยกูร์ที่เหลือไป โดยจีนบอกว่าต้องการเอาทุกคนกลับประเทศ “เพราะทุกคนอยากกลับและกลับไปหาญาติ” ท่ามกลางความเคลือบแคลงใจของหลายฝ่าย ส่วนประเทศที่ขอรับไปตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะเป็นประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ เขาต้องการจะช่วยผลักดันการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยแบบยั่งยืน

นายกัณวีร์ กล่าวว่า ไทยคงไม่รู้จะทำอย่างไรในช่วง 9 ปีรัฐบาลทหาร จึงควบคุมไว้ในห้องกักของ สตม. อย่างไม่มีกำหนด ผู้ที่รับหน้าเต็มๆ คือ สตม. คนทำงานด้านนี้สิทธิมนุษยชนคาดหวังสูงว่าเมื่อเราได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว คงจะมีหัวใจและหลักการประชาธิปไตย ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน และจะไม่ตัดสินใจที่เลวร้ายย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อีกต่อไป แต่สุดท้ายวันที่ 27 ก.พ. 2568 รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกลับตัดสินใจผิดพลาดอย่างร้ายแรง ผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ จำนวน 40 คนกลับจีนอย่างมีข้อกังขาทางสังคม

“ทั้งๆ ที่มีมติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค. 2568 แต่ก็ยังโกหกตาใสว่าจะไม่มีการผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับ ผมเป็นผู้ได้รับการค่อนแคะโดยตรงจาก นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี หลายครั้ง ทั้งสวนผมว่ารู้ได้ไง ไม่มีหรอกเรื่องนี้ ฯลฯ และสุดท้ายก็ผลักดันกลับแบบลับๆ ล่อๆ แล้วมาบอกว่าต้องทำเพราะไม่อยากให้มีปัญหาในช่วงส่งไปสนามบิน ขนาดวันที่ผลักดันกลับนายกรัฐมนตรีไทย ยังพูดตอนเช้าว่าไม่มีหรอก ถ้ามีต้องยึดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและหลักสิทธิมนุษยชน จนกระทั่งจีนประกาศออกมาก่อนไทยว่ารับมาแล้ว 40 คน จากไทย แล้วอีกวันให้หลังค่อยมาแถลงข่าวและบอกว่าคนตัดสินใจคือ รองนายก/รมว.กห. รมว.ยธ. และ รมว.กต.” สส.พรรคเป็นธรรมกล่าว

นายกัณวีร์ กล่าวว่า เมื่อถามถึงหลักฐานแสดงความสมัครใจของชาวอุยกูร์ก็ไม่สามารถเอาเอกสารหลักฐานใดๆ มาแสดงได้ แต่กลับมาโจมตีเอกสารจดหมายที่ตนเอามาแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้สมัครใจว่าเป็นของปลอม ทั้งกรมราชทัณฑ์ และ สตม. รวมทั้งโฆษกรัฐบาลที่ออกมาโจมตี ตนจำได้ทุกอย่าง สุดท้าย นายรัศมิ์ ชาลีจันทร์ ผู้ชวย รมว.ต่างประเทศ ออกมาบอกว่าทางออกเรื่องอุยกูร์มีทางเดียวคือการส่งกลับเท่านั้น เพราะจีนส่งเอกสารทางการทูตมาเจ้าเดียวเท่านั้น ไม่มีประเทศอื่นแสดงความต้องการอย่างจริงจังในการรับไปตั้งถิ่นฐานใหม่ และยังบอกว่าหากจริงจัง ประเทศนั้น ๆ ต้องไปคุยกับจีนเองว่าจะรับไป และจะไม่มีผลกระทบอะไรกับไทยหากรับไป

“ผมนี่แทบไม่เชื่อหูตัวเองจริงๆ ว่าจะได้ยินคำนี้ นี่คือ การทูตผลักภาระ และอิงกับมหาอำนาจอย่างชัดเจน ประเทศไทยแย่จริงๆ แถมมาเหมือนว่ากล่าวว่าหากไทยมีปัญหากับจีนแล้วกระทบกับผลประโยชน์ของประเทศ ใครจะรับผิดชอบ สุดท้ายพอผมเอาหลักฐานมาแสดงว่ามีคนต้องการรับไปจริงๆ ก็มาบอกให้ผม มูฟออน เดี๋ยวค่อยไปดูว่าเค้ากลับไปแล้วอยู่ดีมีสุขไหม มันไม่ได้สิครับ คุณผิดกฎหมายไทย กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ จารีตประเพณีระหว่างประเทศ แล้วบอกลืมๆ มันซะไปดูข้างหน้าดีกว่า พูดเหมือนทำผิดแล้วไม่ยอมรับว่าทำผิด แต่ให้ไปดูว่าเยียวยาดีมั้ย คุณต้องตอบให้ได้ก่อนว่าทำผิดทำไม ความสมัครใจมีมั้ย ผลักดันเขาทำไม” สส.พรรคเป็นธรรมระบุ