“อดีต ผกก.โจ้”ดับคาห้องขัง”ญาติ-ชาวบ้าน”รู้สึกคาใจ นักโทษนอนคุก ไม่ปลอดภัย รมต.ทวี นรต.37 เพื่อนร่วมรุ่น นรต.57 ต้องช่วยลุยสอบให้ความจริงปรากฏ

501

      การตายผิดธรรมชาติของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ อดีตผกก.สภ.เมือง นครสวรรค์ ผู้ต้องขังคดีคลุมถุงดำ ผู้ต้องหาคดียาเสพติดเสียชีวิตเมื่อ ปี 2564 ในห้องขังเรือนจำกลางคลองเปรม กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทั้งญาติและสังคม ต่างคาใจถึงสาเหตุการตาย พร้อมตั้งคำถามไปถึงกรมราชทัณฑ์ เจ้าของฉายาแดนสนธยา ว่าก่อนผูกคอตาย อดีตผู้กำกับโจ้  ถูกทำร้ายและถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำกดดันทางจิตใจหรือไม่ ?

      แม้ว่าในสื่อโซเชียลจะมีความเห็นหลายหลากทั้งในทำนองว่ากรรมตามสนองแล้ว หรือบางสำนวนบอกว่าสมควรแล้วอย่าไปรื้อฟื้นเลย แต่หลายกระแสมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ควรเกิดขึ้นเพราะเมื่ออดีตผู้กำกับโจ้ยอมรับผิดแล้ว ผู้คุมหรือเจ้าหน้าที่เรือนจำควรดูแลป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้น

      แต่ดูเหมือนว่าอดีตผู้กำกับโจ้กลับถูกกดดันสารพัด รวมถึงถูกทำร้ายร่างกายและมีการแจ้งความไว้ที่ สน.ประชาชื่น ซึ่งในโซเชียลมีการแชร์ผลตรวจร่างกายว่าถูกกระแทกด้วยของแข็งไม่มีคมบริเวณชายโครงซ้าย เหตุเกิดวันที่ 8 มกราคม ให้แพทย์ตรวจวันที่ 12 มกราคม

      ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตจะถูกสอบสวนและมีการลงโทษผู้คุมที่ขัดแย้งกับอดีตผู้กำกับโจ้ได้หรือไม่ ต้องเฝ้ารอแต่ความขัดแย้งเกิดขึ้นจริง เพราะมีการสั่งย้าย นายสิทธิพร ผู้คุมคู่ขัดแย้งพ้นหน้าที่ไปประจำที่ส่วนบริหารทั่วไป จนกว่าข้อเท็จจริงกรณีการตายของอดีตผู้กำกับโจ้จะปรากฏ คือหลักฐานเชิงประจักษ์


      ผลการสอบสวนจะลงเอยแบบไหนมีหลายฝ่ายต่างตั้งข้อสังเกตไว้ว่าผู้คุมน่าจะไม่ผิดเพราะทำตามหน้าที่และกรมราชทัณฑ์ได้ออกมาชี้แจงในประเด็นที่ถูกตั้งข้อสงสัยรวม 6 ข้อ อาทิ การร้องเรียนจากแฟนและน้องสาวว่าอดีตผู้กำกับโจ้ถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายและกลั่นแกล้งจากผู้คุมได้ตรวจสอบร่างกาย 2 ครั้ง แต่ไม่พบร่องรอยการทำร้าย และอดีตผู้กำกับโจ้ไม่ต้องการให้ดำเนินการสอบสวนพร้อมลงลายมือชื่อยุติเรื่อง

     แต่อย่างไรก็ตามแม้ภาพลักษณ์ของอดีตผู้กำกับโจ้ จะถูกมองเป็นลบเพราะทำร้ายผู้ต้องหาเสียชีวิต แต่ถ้ามองในเชิงความตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่จะมีมุมมองที่แตกต่างออกไป โดยมีตำรวจหลายนายรวมถึงเพจต่างๆได้แสดงความเห็นในเชิงเห็นอกเห็นใจว่าหากย้อนการทำงานของอดีตผู้กำกับโจ้ ว่าฝ่ายสืบสวนล่อซื้อจับกุมพ่อค้ายาเสพติด แต่ได้ของกลางน้อยจึงเค้นสอบ ซึ่งผู้ต้องหาเคยโดนจับหลายครั้ง รู้ว่าตำรวจทำอะไรไม่ได้จึงไม่ยอมปริปาก อดีตผู้กำกับโจ้ลงมือสอบสวนด้วยตัวเองเพื่อขยายผลยึดของกลางที่รู้ว่ามีอยู่จำนวนมาก จึงใช้วิธีเค้นสอบด้วยการจับคลุมถุงดำ บังเอิญว่าผู้ต้องหาเสียชีวิต กล้องวงจรปิดในห้องบันทึกภาพไว้แล้วมีการส่งต่อกระทั่งเกิดข่าวฉาวโฉ่ กรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการพลั้งมือไป  ถ้ามองในเชิงทำงานถือว่าอดีตผู้กำกับโจ้ใส่ใจกับงาน ถ้าไม่ใส่ใจคงไม่สอบสวนด้วยตัวเอง

”ขณะเดียวกันมีความเห็นของตำรวจอีกนายระบุว่าการสอบสวนของอดีตผู้กำกับโจ้ขาดการยับยั้งชั่งใจ ขาดการวางแผนในยุทธวิธีที่ถูกต้อง เจตนาของแกคือต้องการขยายผล ไม่ต้องการฆ่า แต่วิธีผิดพลาดจึงนำไปสู่การตาย ซึ่งอดีตผู้กำกับโจ้ มุ่งหวังจะขยายผลยึดของกลางให้ยาเสพติดให้มากที่สุดเพราะรู้ว่าผู้ต้องหารายนี้มีเครือข่ายที่กว้างขวาง เมื่อเล็งผลเลิศมากไปจึงเกิดความผิดพลาดขึ้น“

   เมื่ออดีตผู้กำกับโจ้ยอมรับผิดและเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตและคดีอยู่ในระหว่างยื่นอุทธรณ์ แต่มาเสียชีวิต กรมราชทัณฑ์ยากที่จะหลีกเลี่ยงเสียงครหา และถูกสังคมตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อผู้ก่อเหตุยอมสารภาพผิดถูกคุมขังในเรือนจำ เจ้าหน้าที่หรือผู้คุมควรจะปฏิบัติหรือดูแลมิให้เกิดเหตุร้ายขึ้น เป็นข้อสังเกตที่มองโลกสวย สวนกับความเป็นจริงกับบรรยากาศในคุก

      ”ซึ่งอดีตผู้คุมคนหนึ่งให้ข้อมูลว่า ถ้าผู้ต้องขังมีชื่อเสียงหรือมียศ เมื่อเดินเข้าคุกส่วนใหญ่ไม่ปล่อยวาง คิดว่าตัวเองยังมีอำนาจอยู่ ทำตัวกร่าง ไม่ให้เกียรติเจ้าหน้าที่ พอถูกตักเตือนจะแสดงอาการไม่พอใจ เป็นเหตุให้บาดหมางกับเจ้าหน้าที่แล้วลามถึงผู้ต้องขังคนอื่น ทำให้เกิดอาการหวาดระแวงภาษาคุกเรียกว่าอาการรั่ว ระแวงไปหมด จนเครียด

   “ผลจากที่ทะเลาะกับเจ้าหน้าที่ ทางเจ้าหน้าที่มีมาตรการตอบโต้ด้วยการไม่สนใจ ไม่พูดด้วยถ้าผิดระเบียบจะจัดการทันที พร้อมกับยุยงให้ผู้ต้องขังรายอื่นเล่นสงครามประสาทกดดันอีกทางหนึ่ง อาทิขู่จะทำร้ายเป็นต้น บางคนทนต่อการกดดันไม่ไหวจะขอแยกขัง”อดีตผู้คุมระบุ

   จากข้อมูลของอดีตผู้คุมนั้น อดีตผู้กำกับโจ้จะอยู่ในข่ายด้วยหรือไม่ สุดจะคาดเดา แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดกับอดีตผู้กำกับโจ้”ประดู่แดง”มองว่า เขาทำหน้าที่รีดเค้นสอบผู้ค้ายา นั่นคือเขาเป็นตำรวจที่ทำให้โจรยาเสพติดตาย เพราะพลาดพลั้งมือ ถ้าเป็นในอดีตวิสามัญ พ่อค้ายามันก็สมแก่เหตุ  แต่เหตุที่เกิดกับเขาไม่ควรเกิดขึ้นเพราะกรมราชทัณฑ์หรือเรือนจำควรจะเป็นที่ปลอดภัยให้กับผู้ต้องหาที่ยอมรับผิดแล้ว และคดียังไม่ถึงที่สุดไม่ใช่เป็นสถานที่ใช้ทำร้ายและเจ้าหน้าที่หรือผู้คุมเมื่อมีเหตุบาดหมางกับผู้ต้องขังหรือนักโทษ ไม่ควรกดดันเล่นส่งครามประสาท จนผู้ต้องขังหรือนักโทษจนมุมเดินไปสู่ความตาย

  เหมือนกันที่แฟนอดีตผู้กำกับโจ้สะท้อนว่า”พี่โจ้ทำผิดด้วยความประมาท ทำให้คนอื่นถึงแก่ชีวิตพี่โจ้ต้องรับโทษ แต่ถ้าท่านทำร้ายร่างกายคนโดยไม่มีเหตุจำเป็น กดดัน กลั่นแกล้ง ดูถูก เหยียดหยามท่านต้องได้รับโทษเหมือนกัน”

ดังนั้นผลสอบถึงสาเหตุที่ทำให้อดีตผู้กำกับโจ้ตาย จะลงเอยอย่างไรคงต้องติดตาม แต่ถ้าผลสอบออกมาว่าเจ้าหน้าที่หรือผู้คุมไร้มลทิน  คำว่าแดนสนธยาจะอยู่คู่กับกรมราชทัณฑ์ชั่วกัปชั่วกัลป์ !!! รมว.ทวี สอดส่อง อดีตตำรวจ นรต.รุ่น 37 พร้อมเพื่อนร่วมรุ่น นรต.57 ต้อง ช่วยกันทำความจริงให้ปรากฏ เพราะพวกคุณคือพี่น้องร่วม รร.นรต.เลือดผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เหมือนกับผู้กำกับโจ้ นะอย่าวางเฉย สังคมจับตาดู คดีนี้ต้องจบในข้อเท็จจริงเท่านั้น ..!!!