“ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการทุจริตคอรัปชั่นได้แทรกอยู่ในทุกอณูของประเทศไทย บุคลากรแต่ละภาคส่วนต่างมีกลวิธีที่แยบยล“

แม้แต่ความเจ็บป่วยสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการโกงได้แบบเหนือความคาดหมาย สร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำมานานนับทศวรรษ นั่นคือคดีทุจริตยาในโรงพยาบาลทหารผ่านศึก จากสถานที่เกิดเหตุทำให้อดหวั่นไหวไม่ว่าจะจบแบบจับแค่ปลาซิวปลาสร้อยเข้าคุก เพราะที่ผ่านมาหากเกิดในหน่วยทหารปลาตัวใหญ่จะรอด สมกับป้ายที่ปักว่า”เขตทหารห้ามเข้า” ซึ่งคดีนี้นายธนเดช เพ็งสุข สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน เปิดประเด็นว่ารับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับอภิมหาโกงยาเกิดขึ้นในโรงพยาบาลทหารผ่านศึก โดยบุคลากรของโรงพยาบาลลักลอบนำยาไปขายต่อ ทำเป็นขบวนการหลายร้อยคน เกี่ยวข้องกับข้าราชการระดับสูงทั้งอดีตและปัจจุบัน
“เมื่อตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และองค์การทหารผ่านศึก เข้าตรวจพบว่ามีมูลความจริง มีผู้เกี่ยวข้องแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มผู้มีสิทธิเบิกตรง กลุ่มนายหน้าจัดแจง และบุคลากรในโรงพยาบาลรวมทั้งนายทหารระดับสูง เบื้องต้นพบว่ามีข้าราชการระดับสูงเอี่ยวประมาณ 20 คน มีทั้งเกษียณและไม่เกษียณ ร่วมกันโกงมากว่า 10 ปี ”นายธนเดชระบุพร้อมแฉพฤติกรรมว่าขบวนการแบ่งเป็น 6 กลุ่มๆละ 60-70 คน จะมีรถตู้ขนผู้ป่วยจาก จ.ลพบุรี ไปรักษาที่โรงพยาบาลครั้งละ 10-20 คน ขอรับยากลับไปจำนวนมากๆในทุกเดือน เป็นยารักษาโรคไม่ติดต่อ ผู้ป่วยต้องใช้ตลอดชีวิต จะมีผู้ร่วมกระทำผิดประมาณ 600 คน มีทั้งข้าราชการระดับกลางถึงระดับสูง ทั้งทหาร แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ธุรการและผู้ป่วยมีสิทธิเบิกจ่าย
นายธนเดช ระบุว่าทั้ง 3 กลุ่มจะแบ่งหน้าที่กันทำ กลุ่มแรก คนไข้ผู้มีสิทธิในการรักษาครอบครัวข้าราชการ เล่นละครตบตาหมอ ขนยาออกมาเป็นกระสอบส่งมอบให้กับผู้บงการแล้วรับค่าจ้าง กลุ่ม 2 เจ้าหน้าที่รัฐและบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยให้ขบวนการนี้ขับเคลื่อนได้ คนในโรงพยาบาลที่รู้ช่องโหว่ของระบบในโรงพยาบาลและกลุ่มที่ 3 ดีลเลอร์ยา บริษัทยากำหนดใบสั่งยิงยาว่าตลาดต้องการยาตัวไหน กลุ่มบริษัทจำหน่ายยามีความเกี่ยวพันกับโรงพยาบาลโดยตรง คือจ่ายค่านายหน้าให้กับโรงพยาบาลและแพทย์ในรูปแบบต่างๆ จะขายยาให้กับโรงพยาบาลตามระบบ ก่อนลักลอบขนยาออกไปฟรีแล้ววนกลับไปขายให้ประชาชนอีกรอบ
“มีการกำกับว่าให้ผู้ป่วยปลอมว่าต้องเล่นละครแบบใด กินอาหารแบบไหน เพื่อให้ค่าไขมัน น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงแล้วหมอสั่งจ่ายยานอกระบบบัญชีซึ่งมีราคาแพง ยาส่วนใหญ่กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังคือพวกเบาหวาน ความดัน ไขมัน ที่อยู่นอกบัญชียาหลักมีราคาแพง แล้วนำไปขายตลาดมืดได้ราคาดี ยากลุ่มนี้ระบบอนุญาตให้เบิกครั้งละมากๆ”นายธนเดชระบุและบอกว่ามีชื่อพ.อ.หญิง ก.เป็นตัวการและกำลังถูกปกป้องเพราะเส้นสายดี
ขณะที่ข้อมูลของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระบุว่าโครงการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ของโรงพยาบาลทหารผ่านศึกตั้งแต่ตุลาคม 2560-มกราคม 2568 งบประมาณจัดซื้อกว่า 1,631 ล้านบาท ราคาตกลงตามสัญญาอยู่ที่ 1,551 ล้านบาท มีบริษัทยาสามแห่งประมูลได้
สำหรับปมทุจริตยาของโรงพยาบาลทหารผ่านศึกกว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลทหารผ่านศึกแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง มิได้เกิดขึ้นในทันทีแต่เกิดขึ้นหลังจากที่นายธนเดชและสื่อหลายสำนักนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่อง จึงขยับ ทั้งที่เป็นปัญหาใหญ่กระทำผิดมาเกือบ 10 ปี โดยที่ผู้บริหารโรงพยาบาลฯไม่ทราบบ้างหรืออย่างไร ?
แต่เมื่อแจ้งความแล้ว พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(รองผบช.ก.)ขยับทำงานทันทีโดยร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ป.ป.ท.และป.ป.ช. พร้อม บอกถึงแนวทางสืบสวนสอบสวนว่าแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มผู้ป่วย กลุ่มสั่งการและกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ ระดมพนักงานสอบสวนทั้งจากบก.ปอท. บก.ปอศ. บก.ป. บก.ปปป.และบก.ปคบ. ร่วมทำคดี เพื่อให้คดีคืบหน้าอย่างรวดเร็วเนื่องจากรัฐได้รับความเสียหายมานาน จะไปสอบปากคำผู้มีส่วนข้องกว่า 100 คนที่จังหวัดลพบุรี
“เบื้องต้นในทางสืบสวนทำผิดเป็นขบวนการใหญ่ มีผู้เกี่ยวข้องทั้งทหาร หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ธุรการและผู้ป่วย และทราบแล้วว่าปลายทางของยาถูกนำไปที่ไหน และพบว่าผู้กระทำผิดบางคนทำผิดที่โรงพยาบาลอื่นด้วย”พล.ต.ต.จรูญเกียรติระบุ
ดังนั้นถ้ามองจากข้อมูลของนายธนเดชและพล.ต.ต.จรูญเกียรติฯ พออนุมานได้ว่าผู้กระทำผิดจำนวนมาก ทั้งข้าราชการในโรงพยาบาลฯ ผู้ป่วยที่เป็นทั้งข้าราชการและอดีตข้าราชการ บริษัทยา และร้านขายยาที่รับซื้อ
แต่เชื่อว่าในส่วนของข้าราชการดับกลางลงล่าง ผู้ป่วย บริษัทยาและร้านขาย พนักงานสอบสวนสาวคงถึงแน่นอนเพราะมีหลักฐานเป็นเอกสาร แต่ข้าราชการระดับสูงในโรงพยาบาลที่มียศทั้งแพทย์ ผู้บริหารโรงพยาบาล ไม่แน่ใจว่าพนักงานสอบสวนกล้าพอที่จะสอบสวนไปถึงหรือไม่ เพราะอย่างน้อยที่ปรากฏเป็นข่าวมีระดับพ.อ.หญิงถึง 2 คนแล้ว แถมโกงมากว่า 10 ปี ผู้บริหารโรงพยาบาลฯไม่รู้เบาะแสบ้างหรืออย่างไร ?
หากสอบสวนพบว่ามีนายทหารระดับนายพันถึงนายพลเอี่ยว จะแยกดำเนินคดีเพื่อนำขึ้นศาลทหารหรือไม่ ?
ข้อสังเกตเหล่านี้เชื่อว่าประชาชนเจ้าของภาษีเกิดอาการหวั่นไหวแน่นอนเพราะเกรงคนผิดลอยนวล เนื่องจากคำว่า”เขตทหารห้ามเข้า”ยังคงฝังอยู่ในความรู้สึกของประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเรามานานแล้ว
“ประดู่แดง”แอบหวังลึกๆว่า”พล.ต.ต.จรูญเกียรติ”ที่ได้ฉายามือปราบโกง คงไม่จับแค่ปลาซิวปลาสร้อย และคงหาช่องนำผู้กระทำผิดที่เป็นทหารทุกชั้นยศขึ้นศาลพลเรือนได้แน่นอน
แต่ถ้าถูกแยกคดีทหารทำผิดต้องขึ้นศาลทหารคำว่า”เขตทหารห้ามเข้า”จะคงความขลังตลอดไป !!!
