ศาล สั่งยกเลิก บังคับ ทรงผมนักเรียน ชี้ละเมิดเสรีภาพ “ครูจวง” ยันมีอีกหลายวิธี สร้างวินัยเด็ก

950

กรุงเทพฯ วันที่ 5 มี.ค. ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ที่ออกตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ซึ่งกำหนดข้อห้ามเกี่ยวกับการไว้ทรงผมและการใช้เครื่องสำอางของนักเรียน โดยระบุว่า กฎดังกล่าวไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน และขัดกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 เพราะกฎดังกล่าวกำหนดให้นักเรียนชายห้ามไว้ผมยาวเกินตีนผม หรือไว้หนวดเครา ส่วนนักเรียนหญิงห้ามไว้ผมยาวเกินต้นคอ และห้ามใช้เครื่องสำอาง โดยศาลเห็นว่า การบังคับใช้กฎนี้อย่างเคร่งครัดอาจกระทบต่อจิตใจของเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศ

เจตนารมณ์ของประกาศของคณะปฏิวัติ ระบุว่า เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองดีเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ การเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา การเป็นศิษย์ที่ดีของครู ให้อยู่ในคำสั่งสอนและโอวาทของผู้ใหญ่และระเบียบประเพณี ซึ่งศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่า กฎกระทรวงดังกล่าวไม่คำนึงถึง สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนพัฒนาการของอัตลักษณ์และบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัย ซึ่งอาจถือเป็นการละเมิดเสรีภาพในร่างกายและขัดกับหลักการสิทธิเด็ก จึงไม่อาจถือได้ว่าประกาศของคณะปฏิวัติฯ และกฎกระทรวงที่พิพาท เป็นกฎที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ และยังอาจมีการบังคับใช้กฎที่พิพาทนั้นอย่างเคร่งครัดจนมีผลร้ายต่อจิตใจของเด็กที่มีความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศ

โดยคดีดังกล่าว มีตัวแทนนักเรียน กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท พร้อมด้วยทนายความเข้ายื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางเมื่อปี 2563 เพื่อขอให้เพิกถอนกฎระเบียบเกี่ยวกับการไว้ผมทรงผมของนักเรียน โดยมีกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2

ด้าน ครูจวง” ปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ซึ่งรณรงค์เรื่องดังกล่าว ได้โพสต์เฟซบุ๊ก กล่าวขอบคุณคณะนักเรียน กลุ่มนี้ที่มีความกล้าหาญและยืนหยัดอย่างมั่นคงบนหลักการสิทธิเนื้อตัวร่างกายของเด็ก จนวันนี้ที่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกเลิกกฎกระทรวงฉบับนี้ การเลือกรูปแบบทรงผมเป็นสิทธิเนื้อตัวร่างกายของตัวเด็กเองที่เขาจะเลือกด้วยตัวของเขาเอง เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กและมนุษย์ทุกคน วันนี้จึงเป็นหมุดหมายสำคัญของการที่สังคมไทยจะได้ตระหนักอย่างยิ่งในสิทธิเนื้อตัวร่างกายของเด็กทุกคนในประเทศนี้

“ดิฉันขอเรียกร้องไปยังครู ผู้บริหารโรงเรียนและบุคลากรทางการศึกษาทุกคน ขอให้ตระหนักในหลักการสิทธิเนื้อตัวร่างกายของเด็กอย่างเคร่งครัด เพราะถึงแม้ว่าในวันนี้จะมีคำพิพากษานี้ออกมา และในอดีตเมื่อเดือนมกราคม 2566 คุณตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการในขณะนั้น ก็ได้ยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 ไปแล้ว แต่ในทางปฏิบัติยังมีโรงเรียนและครูอีกหลายคน ตัดผมเด็ก ตามที่เราเห็นในข่าวอยู่เสมอ ๆ ดิฉันจึงขอเรียกร้องให้โรงเรียนและครูทุกคน “ต้อง” รับฟังความคิดเห็นของนักเรียนทุกคนอย่างรอบด้านในการออกกฎระเบียบของโรงเรียนทุกกฎ รวมถึงขอให้กระทรวงศึกษาธิการออกแนวปฏิบัติไปยังทุกโรงเรียนในการที่ “ต้อง” รับฟังความคิดเห็นของนักเรียน รวมถึงกฎระเบียบโรงเรียนต้องไม่ขัดหลักการสิทธิเนื้อตัวร่างกายของเด็กอีกด้วย” ปารมี ระบุในเฟซบุ๊ก

โดย สส.พรรคประชาชน โพสต์ด้วยว่า ในส่วนที่ผู้ใหญ่บางคนมักจะพูดว่าการไว้ผมทรงนักเรียนนั้นเป็นการปลูกฝังวินัยให้กับเด็ก อยากจะทำความเข้าใจกับท่านว่า การปลูกวินัยมีหลายวิธีที่ทำได้โดยไม่ละเมิดสิทธิเนื้อตัวร่างกายของเด็ก เช่น วินัยในการตรงต่อเวลา วินัยในการต่อแถวเข้าคิว วินัยในการแบ่งเวลาทำงานกับเวลาพักผ่อน รวมถึงการปลูกฝังความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน เป็นต้น เหล่านี้ครูและพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถปลูกฝังให้กับเด็กได้โดยไม่ละเมิดสิทธิเนื้อตัวร่างกายของเด็ก