“ ช่วงที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผลักดันให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงาน ตำรวจ(กต.ตร.)ทั้งระดับกองบังคับการ(บก.)และโรงพัก โดยรับแนวนโยบายจากคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช) มีเสียงท้วงติงจากทั้งตำรวจและหลายภาคส่วน
“

เพราะดูจากภาระหน้าที่แล้วครอบคลุมงานตำรวจเกือบทุกภาคส่วน อาทิ ให้คำปรึกษาแบะเสนอแนะการปฏิบัติงานของตำรวจ รับคำร้องเรียนของประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ให้ข้อมูลข่าวสารและเสนอปัญหาความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และรายงานผลการปฏิบัติงานให้ ก.ต.ช ทราบ เป็นต้น
เสียงท้วงติงจะเป็นไปในทำนองเดียวกันคือ เกรงว่าถ้าได้ กต.ตร.เป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่มีธุรกิจสีเทาเท่ากับไปเสริมบารมีให้ประกอบธุรกิจได้ราบรื่นขึ้น
ที่หวั่นเกรงมากที่สุดคือ ถ้าได้กต.ตร.ที่มีความรู้แต่โลภมาก จะใช้คราบของ กต.ตร.ไปแสวงผลประโยชน์โดยใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือ และบางคนใช้ กต.ตร.ไต่เต้าไปเป็นที่ปรึกษาให้บรรดาเหล่านายพลสีกากี ระดับ ผบช. ผบช.แล้วนำไปอ้างเพื่อแสวงผลประโยชน์ให้กับตัวเอง
ข้อห่วงใยนี้ไดเกิดขึ้นจริงในหลายพื้นที่แต่ไม่ฉาวโฉ่เท่ากับ พื้นที่ปริมณฑล อาทิ นนทบุรี และลามไปถึงเมืองกรุง เสมือนพวกสิบแปดมงกุฎในคราบ กต.ตร. มีดีกรีระดับปริญญา มีพฤติกรรมว่าตีสนิทกับนายพลสีกากี ในพื้นที่ ทั้งระดับโรงพัก บก. และกองบัญชาการ จากนั้นตระเวนตีสนิทกับบรรดานักธุรกิจ โดยอ้างว่าสามารถวิ่งเต้นช่วยเหลืองานด้านต่างๆ ได้ เพราะมีตำรวจหนุนหลัง
แม้แต่กับเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร สามารถติดต่อให้เอื้อประโยชน์ทางธุรกิจได้ ปรากฏว่ามีนักธุรกิจ ทำธุรกิจเกี่ยวพื้นที่จอดรถของตลาดแห่งหนึ่งในเขตจตุจักร หลงเชื่อให้ใช้ชื่อบริษัทตัวเองดำเนินการ สุดท้ายธุรกิจเกี่ยวกับลานจอดรถถูกฮุบไป
นอกจากนี้สิบแปดมงกุฎคนนั่งกล่าวใช้เครดิตอ้างว่าเป็น กต.ตร มีตำรวจหลายคนหนุนหลัง เข้าตีสนิทกับนักธุรกิจวงการต่างๆผุดวงแชร์ อ้างว่าเพื่อช่วยเหลือในยามหมุนเงินไม่ทัน มีนักธุรกิจหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก
วิธีการจะใช้วิธีตีเช็คให้กับเจ้ามือวงแชร์ โดยมีให้คนขับรถออกหน้าเป็นนอมินี แต่สุดท้ายเบี้ยวแชร์สร้างความเสียหายให้กับลูกแชร์จำนวนมากเพราะแชร์มีหลายวง รวมถึงเงินกู้ยืมเงินนักธุรกิจก็เบี้ยวดื้อๆ ไม่มีไม่จ่าย
เจ้ามือแชร์คนหนึ่งให้ข้อมูลว่า ยอดค้างวงแชร์รายอาทิตย์ทุกวง 4,750,000 บาท ยอดค้างแชร์อาทิตย์ที่ 2 ของเดือน 2,680,000 บาท ค้างตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 ยอดค้างแชร์รายเดือน 50,000 บาทและ 500,000 บาท ทุกวันที่ 1 ,10และ 16 ของเดือน รวมเป็นเงินเงิน 4,700,000 บาท ยอดค้างแชร์รายสัปดาห์ มือละ 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 760,000 บาท มีการตัดยอดกันบาง รวมติดหนี้วงแชร์กว่า 18 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังตั้งวงเงินยืมกลุ่มทุนทุกวันที่ 13 รวมดอกเบี้ยถึงวันที่ 13 กันยายน 2567 จำนวน 5,280,000 บาท เงินยืมเฮียทุกวันที่ 20 รวมดอกเบี้ยถึงวันที่ 20 กันยายน 2567 รวมเป็นเงินกว่า 3 ล้านบาท รวมหนี้ทั้งหมดกว่า8 ล้านบาท ที่แสบทรวงสุดคือเด็กผู้หญิงลูกสาวเจ้าของเงิน โทรทวงถาม ”คำตอบที่ได้รับไม่มี มีแต่ปืน“
ผู้เสียหายได้นำคดีฟ้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือ เมื่อเดือนกันยายน 2566 โดยฟ้องคนขับรถเป็นจำเลยที่ 1 และคนสลักหลังเช็ค เป็นจำเลยที่ 2 ความผิดฐานฉ้อโกง ถึงเวลานัดขึ้นศาลจำเลยกลับไม่มา ศาลแขวงพระนครเหนือ ออกหมายจับจำเลยที่ 1 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ให้ ผบช.น. ตามจับกุมส่งศาลกำหนดอายุความ 5 ปี ให้จับส่งไม่เกินวันที่ 25 กันยายน 2571
สิบแดมงกุฎในคราบ กต.ตร. ในอดีตมีบทบาทค่อนข้างสูงในพื้นที่ บช.ภ.1 มีตำรวจหลายนายให้ความไว้วางใจ เพราะอ้างว่าสามารถหาผลประโยชน์มาเอื้อต่อกันได้ แถมอวดอ้างสามารถวิ่งเต้นในการแต่งตั้งโยกย้ายได้ด้วย แต่ต้องมีปัจจัยติดปลายนวม รวมถึงประสานกับพวกธุรกิจสีเทาหาประโยชน์ให้กับตำรวจบางนายได้อีกต่างหาก
ห้วงเวลานี้เครดิตในแวดวงสีกากีเริ่มถดถอย ได้วิ่งเต้นเข้าหาบรรดาสส.และนักการเมืองในพื้นที่เพื่อแทรกตัวเข้าอยู่ในส่วนทีมงานเลขานุการอนุกรรมาธิการ จนสามารถเดินเข้ารัฐสภาพร้อมกับคนขับรถที่ถูกออกหมายจับได้อย่างสบายใจเฉิบ
ซึ่งบุคคลประเภทแม้จะมีความรู้สูง แต่ใช้ความรู้เพียงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบทุกรูปแบบ โดยไม่ได้สนใจว่าผู้ที่ถูกกระทำหรือถูกฉ้อโกงจะเดือดร้อนเพียงไหน แต่สามารถลอยหน้าลอยตา เคียงข้าง ระดับ ผบช. ระดับ ผบก.สส. อยู่ได้ทั้งในวงการสีกากี ที่นายตำรวจหลายนายให้ความเกรงใจ รวมถึงแวดวงการเมืองโดยใช้ตำแหน่งทางการเมืองเป็นเกราะป้องกัน เดินเข้าออกรัฐสภาชูคอลอยนวลวางมาดนักวิชาการ
ดังนั้นเพื่อหยุดพฤติกรรมสิบแปดมงกุฎคนนี้โดยมีคนขับรถเป็นนอมินี ไม่ให้ไปหลอกลวงต้มตุ๋น ผู้สุจริตทั้งหลาย มีตำรวจเท่านั้นที่จะจัดการได้ เพียงแค่ทำตามหมายจับที่ศาลแขวงพระนครเหนือออกไว้ให้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 จะหยุดความอหังการได้แล้ว !!! ขอดังๆถามท่าน ผบ.ตร. หรือ ผบช.น. แบบนี้พอจะเข้าข่ายผู้มีอิทธิพล กล้าที่จะจับกุม ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้เร่งปราบปรามอย่างจริงจังหรือไม่ ท่านต้องมีคำตอบ…..?
