“ ในแวดวงสีกากีจะมีคำขวัญที่ถูกยกขึ้นมากล่าวถึงเสมอคือคำขวัญของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจช่ว พ.ศ.2494-2500 ระบุว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ในทางที่ไม่ขัดต่อศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามและกฎหมายบ้านเมือง”

แม้จะล่วงเลยมาเกือบ 70 ปี แต่คำขวัญนี้ยังคงความขลัง ถูกนำมาเปรียบเปรยกับพฤติกรรมของตำรวจเสมอ ถ้าตำรวจประพฤติชั่วหรือทำผิดกฎหมาย สื่อหรือสังคมจะยกมาเพียงแค่ว่า”ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้”เพื่อเสียดสี ถากถาง ถ้าประพฤติดีจะยกขึ้นมาทุกถ้อยคำเพื่อสรรเสริญ ถึงคุณงามความดี
แต่ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา เผด็จการทหารครองเมือง ตำรวจกลายเป็นองค์กรที่ถูกย่ำยีมากที่สุดถึงขั้นไร้เครดิต ประชาชนขาดศรัทธา หรือแม้แต่ตำรวจด้วยกันเองต่างเอือมระอาทั้งรัฐมนตรีที่กำกับดูแลฯและบิ๊กตำรวจที่นั่งกุมบังเหียน
เป็นยุคที่ตำรวจส่วนใหญ่ทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายหรือทำตามนโยบายแบบแกนๆ เพียงเพื่อไม่ให้บกพร่องต่อหน้าที่เท่านั้น คำขวัญที่ พล.ต.อ.เผ่าให้ไว้ถูกยกมาเพียง 2 ท่อนแรกเพื่อเสียดสีและเหน็บแนม สาเหตุหลักที่ตำรวจส่วนใหญ่เกียร์ว่างเนื่องจากหาผู้บังคับบัญชาที่จะเป็นกำแพงให้พิงอยากมาก เพราะส่วนใหญ่จะหนักไปในทางแสวงประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าตำรวจไร้น้ำยา
แต่ในความเป็นจริงแล้วตำรวจส่วนใหญ่มีศักยภาพในการทำงานเต็มเปี่ยม ถ้าหัวหน้าหน่วยมีภาวะความเป็นผู้นำ ขอยกตัวอย่างมานำเสนอสัก 2 สถานี
เริ่มที่สถานตำรวจนครบาล(สน.)เพชรเกษม ตำรวจข่วยเหลือ น.ส.จิดาภา นักศึกษาประกาศนียบัตรชั้นสูง(ปวส.)จากโรงแรมไดมอน ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกให้โดนเงิน สืบเนื่องจากเวลา 23.45 น.วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ่อ น.ส.จิดาภา เข้าแจ้งความว่าเวลา 16.30 น.วันเดียวกันลูกสาวหายออกจากบ้านไปพร้อมทองรูปพรรณชนิดต่างๆ บอกว่าออกไปธุระ ต่อมาติดต่อไม่ได้เกรงจะได้รับอันตราย และทราบว่า น.ส.จิดาภา ติดต่อขอยืมเงินเพื่อน แต่เพื่อนไม่ให้ เชื่อว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก จึงแจ้งตำรวจให้ทราบ
หลังรับแจ้ง พ.ต.อ.ปราโมทย์ จันท์บุญแก้ว ผกก.สน.เพชรเกษม สั่งให้ฝ่ายสืบสวนประสานกับกก.สส.น.9 เพื่อข้อมูลไล่เช็คกล้องวงจรปิด จนพบน.ส.จิดาภา เปิดห้องพักที่โรงแรมไดมอนและกำลังจะโอนเงินที่ได้จากการขายทองรูปพรรณ กว่า 1แสนบาทไปให้
น.ส.จิดาภา ให้การว่ามีเจ้าหน้าที่จากบริษัท เอไอเอส แจ้งว่าตนไปเปิดเบอร์โทรศัพท์พัวพันกับการทำ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากนั้นโอนสายให้คุยกับตำรวจปลอม อ้างว่าอยู่ สภ.เมือง เชียงใหม่ บอกตนทำผิดเกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์ ให้ตนนำรหัสธนาคารของผู้ปกครองไปด้วยและห้ามบอกใคร ซึ่งผู้ปกครองของตนไม่ยินยอมให้รหัส ทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์บอกให้ตนหาเงินสด 100,000 บาท เพื่อจะไม่ดำเนินคดีตนและผู้ปกครอง จึงเกิดความกลัวนำทองไปขาย ทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์สั่งห้ามบอกใครห้ามกลับบ้านให้ไปเปิดโรงแรมเพื่อติดต่อ กระทั่งตำรวจเข้าช่วยเหลือโดยไม่ต้องเสียเงินแต่อย่างใด
กรณีที่ 2 สภ.เบตง จ.ยะลา วันที่ 13 กุมภาพันธ์ นางจิราพร อายุ 71 ปี เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนว่าวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ขณะยืนขายเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่หน้าร้านเขตเทศบาลเมืองเบตง มีหญิงชาวจีนวัย 50 ปีเข้ามาถามคนสนิทที่ชื่อหวังไท่ซือ ตนบอกไม่รู้จัก ต่อมามีหญิงอีกคนเข้ามานั่งคุยบอกว่าเป็นหมอดู รู้ข้อมูลตนอย่างละเอียดแล้วบอกว่าจะมีเคราะห์ ต้องสะเดาะเคราะห์ ให้นำทรัพย์สินทองรูปพรรณ 17 บาทมูลค่า 800,000 บาทและเงินสด 150,000 บาท ใส่ถุงสะเดาะเคราะห์ บอกว่าอีก 1 เดือนค่อยมาเปิดดู ตนเอะใจเปิดออกดูพบว่าทรัพย์สินหายไป
ต่อมา พ.ต.ท.รุสมาน ดีมามอ รองผกก.สส.สภ.เบตง สั่งให้ชุดสืบสวนไล่กล้องวงจรปิดกระทั่งจับผู้ผู้ต้องหาเป็นชาวจีนชายหญิง 5 คน ได้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.เมือง ยะลา ชาวจีนกลุ่มเดินทางจากประเทศจีนเพื่อมาก่อเหตุ อย่างไรก็ตามในพื้นที่ อ.เบตง เคยก่อเหตุลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง
ทั้งสองกรณีที่”ประดู่แดง”ยกมานำเสนอเพียงเพื่อสื่อสารให้เห็นว่าตำรวจไทยมีศักยภาพสูง ถ้าตั้งใจจะทำงานอย่างกรณี สน.เพชรเกษม ไปแจ้งความช่วงห้าทุ่มกว่าๆ พอรับแจ้งหัวหน้าโรงพักสั่งดำเนินการทันทีจนสามารถช่วยเหลือเหยื่อได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ซึ่งในความเป็นจริงที่เหยื่ออาชญากรรมส่วนใหญ่ที่ประสบอยู่คือไปแจ้งความที่โรงพัก ตำรวจมักแสดงอาการโยกโย้อ้างสารพัดเหตุผลที่จะไม่สืบสวนคดี สร้างความระอาให้ชาวบ้านที่ไปใช้บริการอย่างยิ่ง
ดังนั้นถ้าหัวหน้าโรงพักทุกแห่งทั่วประเทศจะเอาแบบอย่าง สน.เพชรเกษม และสภ.เบตง ไปเป็นแนวทางปฏิบัติบ้างน่าจะดี ถ้าปฏิบัติได้จริงรับรองว่าคำขวัญของพล.ต.อ.เผ่า จะถูกนำมากล่าวถึงทุกถ้อยคำแบบไม่ขาดตกบกพร่องอย่างแน่นอน !!!
