”ตำรวจอาชีพถูกสาป“รับบทเดิม”หนังหน้าไฟ”โดนเชือดโชว์เซ่นแก๊งคอลฯ”องค์กรชายชาติ ทหาร-ปกครอง”ลอยตัวตามเคย

1525

 

 “        หลังรัฐบาลใช้มาตรการตัดไฟฟ้า สัญญาณการสื่อสาร งดส่งน้ำมัน สยบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานอยู่ในแถบแนวชายแดนประเทศเมียนมา มากว่า 1 สัปดาห์ ค่อยข้างบรรลุผล เพราะถูกกดดันจากชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทั้งล้อมปราบ ส่งผลให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยอมปล่อยตัวพนักงานทั้งไทยและต่างชาติ ที่สมัครใจและถูกหลอกกลับประเทศโดยส่งผ่านประเทศไทยเป็นจำนวนมาก

       หากดูจากตึกต่างๆที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้เป็นสำนักงาน พอประเมินได้ว่าดำเนินการต้มตุ๋นทั้งชาวไทยและต่างชาติ มายาวนานหลายปีแล้ว โดยใช้ไทยเป็นทั้งทางผ่านนำคนเข้าไปทำงานและนำเงินมาพักไว้ก่อนนำกลับประเทศตัวเอง ทำให้เชื่อได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐทั้งตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครอง คอยอำนวยความสะดวกเพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่อาชญากรกลุ่มนี้โยนให้

      ซึ่งรัฐบาล โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเตรียมที่จะเช็คบิลเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปส่วนพัวพันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ด้วยการย้ายพ้นพื้นที่แล้วตั้งกรรมสอบสวนข้อเท็จจริง หากพบมีส่วนเกี่ยวข้องจะถูกดำเนินการทั้งอาญาและวินัย

    ปรากฏว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ดำเนินการทันที สั่งย้ายหัวหน้าโรงพักในจังหวัดตาก 3 แห่ง หัวหน้าด่านตรวจคนเข้าเมือง 1 นาย รองสารวัตร 1 นายและ พล.ต.ต. 2 นาย พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง

  การขยับของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ  ทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าตำรวจเป็นหน่วยงานเดียวหรือที่รับผลประโยชน์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์  หรือตำรวจต้องคอยรับบทเดิมๆเป็นหนังหน้าไฟ โดนเชือดก่อน เพื่อให้รัฐบาลโชว์ภาพให้ชาวบ้านเห็นว่าปราบปรามจริงๆ  เพื่อกลบกระแสให้กับหน่วยงานอื่นที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายเหมือนกันได้ลอยตัวพ้นผิดกระนั้นหรือ ?

   ซึ่งผลการสอบสวนของตำรวจจะลงเอยแบบไหน และหน่วยงานอื่นๆที่ร่วมกันปฏิบัติงานในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็น ทหาร ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความสงบภายใน(กอ.รมน.)จังหวัด จะถูกนายภูมิธรรม และนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะสั่งย้ายพ้นพื้นที่พร้อมตั้งกรรมการสอบสวน เพื่อเอาผิดด้วยหรือไม่ สุดจะคาดเดา

    แต่”จอมมารน้อย”ขอนำเสนอความจริงชุดหนึ่งในพื้นที่ชายแดนทั้ง เชียงราย ตาก และกาญจนบุรี โดยเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ถ่ายทอดแบบไม่เจาะลึกว่า จังหวัดที่ติดแนวชายแดน จะมีหน่วยงานรัฐหลายหน่วยร่วมกันรับผิดชอบ แต่จังหวัดตากจะพิเศษกว่าอีกสองจังหวัด เพราะมีศูนย์พักพิงผู้อพยพหนีภัยสงครามจากเมียน มากว่า 90,000 คน มีหน่วยงานจากต่างประเทศหลายหน่วยทั้งสหประชาชาติ เอ็นจีโอ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องสิทธิมนุษยชน มาตั้งสำนักงานส่งคนเข้ามาทำงาน

  “แต่หลักๆที่ต้องบังคับใช้กฎหมายและดูแลความสงบในพื้นที่ จะมีตำรวจ ตั้งแต่ระดับผู้บังคับการจังหวัด หัวหน้าโรงพัก ตชด. สันติบาล ทหารจะมีทหารบกเป็นหน่วยหลัก มี กอ.รมน.จังหวัด เป็นกำลังเสริมด้านการข่าว  แต่ละจังหวัดจะมี ผู้ว่าฯมีอำนาจเต็ม ระดับอำเภอจะมีนายอำนาจมีอำนาจบังคับใช้กฎหมายแบบเดียวกับตำรวจ ทั้งผู้ว่าฯและนายอำเภอ จะมีกำลังอาสาสมัคร(อส.)อยู่ในมือ บางจังหวัดผู้ว่าฯจัดตั้งชุดเฉพาะกิจโดยมี อส.เป็นกำลังหลัก มีอำนาจสืบสวนและจับกุมได้เช่นกัน”เจ้าหน้าที่ระบุ

     เจ้าหน้าที่ระบุอีกว่าตามแนวชายแดน ทหารจะมีบทบาทสูงสุด ดูแลรักษาความสงบตามแนวชายแดนสามารถควบคุมตัวบุคคลที่เดินทางเข้าออกประเทศทางช่องทางธรรมชาติทั้งทางบกและทางน้ำแบบผิดกฎหมายได้อย่างเต็มที่ ส่วนเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.จังหวัด สามารถหาข่าวได้อย่างกว้างขวาง ทุกเดือนผู้ว่าฯจะประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยในพื้นที่ติดตามสถานการณ์ต่างๆในพื้นที่

   จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ฯมานำเสนอ อาจจะมองว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่ถ้ามองแบบวิเคราะห์จะสื่อให้เห็นทั้ง 3 จังหวัด คือทางผ่านของบรรดาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ผู้ว่าฯ นายอำเภอ กอ.รมน.จังหวัด ผู้นำทหารในพื้นที่มีกองกำลังต่างๆที่ลาดตระเวนตามแนวชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ  รวมถึงแม่ทัพภาค 1 และแม่ทัพภาค 3 ไม่มีศักยภาพพอที่จะได้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์บ้างหรือ ? หรือมีเพียงตำรวจหน่วยเดียวที่รับรู้แล้วคอยรับผลประโยชน์จากอาชญากรกลุ่มนี้ ถึงถูกสั่งเด้งแล้วตั้งกรรมการสอบซ้ำ ทั้งที่อาชญากรแก๊งนี้ใช้ไทยโดยเฉพาะพื้นที่ 3 จังหวัด เป็นทั้งฐานและทางผ่านไปเมียนมาเพื่อก่ออาชญากรรมมานานแล้ว โดยไม่มีรัฐบาลชุดไหนกล้าปราบอย่างจริงจัง ยกเว้นยุคนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ตั้งใจปราบแต่บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเกียร์ว่าง


     จากข้อมูลที่นำเสนอวิญญูชนน่าจะพึงประเมินได้ว่าผลประโยชน์ที่แก๊งคอลเซ็นโยนให้งับนั้นคงไม่ใช่ตำรวจหน่วยเดียวแน่นอน จึงไม่แน่ใจว่านายภูมิธรรมและนายอนุทิน กล้าพอที่จะจัดการกับหัวหน้าหน่วยต่างๆแบบที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กระทำหรือไม่ ?

  แต่เชื่อว่าคงไม่กล้าฮือเพราะกลัวจะเข้าทำนองลูบหน้าปะจมูก และชาวบ้านคงไม่คาใจแล้วเพราะมีตำรวจรับบทหนังหน้าไฟไปแล้ว !!!