“รองฯโจ๊ก”ไม่หยุด เดินหน้าชน พบ พงส.สน.ปทุมวัน ร้องทุกข์กล่าวโทษ “ผบ.ต่าย”อ้างกระทำผิด ตามมาตรา 157

141

ที่ สน.ปทุมวัน เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 11 กพ 68 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร.เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.อาคม ชุมพรัตน์ ผกก.สน.ปทุมวันและพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.ฐานไม่ทำตามอำนาจหน้าที่ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ราชการ อันอาจถือได้ว่าเป็นการกระทำความผิดทางอาญา ตามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561

ในคำร้องทุกข์กล่าวโทษบางส่วน ได้ยกกรณีเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 67 ถึงปัจจุบัน พบว่ามีข้าราชการตำรวจหลายรายถูกต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงถูกตั้งกรรมการสอบสวน ทั้งที่เป็นข่าวทางสื่อสังคมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง แต่พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ในฐานะผู้นำองค์กรและเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการตำรวจ ทราบเป็นอย่างดี ตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กลับละเลยหรือเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ ที่จะสั่งการให้ข้าราชการตำรวจที่มีการถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง และบางรายมีการถูกดำเนินคดีอาญาต่อศาลแล้ว ให้มีคำสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 131

โดยเฉพาะในคดี 140 ล้าน หรือ “เป้รักผู้การฯ” ประชาชนให้ความสนใจและมีการนำเสนอข่าวต่อประชาชนถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง พบว่า พล.ต.ต. กัมพล ลีลาประภาภรณ์ เป็นผู้ต้องหาคดีอาญาในคดีนี้ และพนักงานสอบสวน ได้มีความเห็นสั่งฟ้อง ส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการพิจารณาตามกฎหมาย และล่าสุดพนักงานอัยการ ก็มีความเห็นสั่งฟ้องแล้ว

แต่ในคดีนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กับพวก กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 131 ที่จะมีคำสั่งให้ พล.ต.ต กัมพล ลีลาประภาภรณ์ และข้าราชการตำรวจรายอื่นออกจากราชการไว้ก่อน ให้เหมือนกับที่ได้มีการสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กับพวก ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

เป็นการส่อเจตนาที่จะประพฤติปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้เชื่อว่ามีเจตนาที่จะใช้อำนาจตำแหน่งในหน้าที่ช่วยเหลือ พล.ต.ต.กัมพล และข้าราชการตำรวจรายอื่นที่ถูกต้องหาคดีอาญาหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะข้าราชตำรวจหลายรายถึงขั้นมีการถูกพนักงานอัยการสั่งฟ้องดำเนินคดีต่อศาลแล้ว

ในขณะที่คดีของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล กับพวก ยังไม่ได้มีการถูกพนักงานอัยการสั่งฟ้อง แต่กลับถูกคำสั่งให้พักราชการหรือออกจาราชการไว้ก่อน

การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และระบบราชการอาจถือว่าร้ายแรง อันอาจเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 “เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต”

นอกจากนี้ยังมีคดีที่ พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ กัญจน์ชัยกิจ รอง ผบก. กองร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นรองฯโจ๊ก ที่อัยการสั่งฟ้องและศาลออกหมายจับ รวมทั้งกรณี พ.ต.อ.ภีมพจน์ น้อมชอบพิทักษ์ อดีตอาจารย์ (สบ4) กลุ่มงานคณาจารย์ คณะตำรวจศาสตร์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ปฏิบัติราชการที่ ศปก. บช.รร.นรต. ศาลออกหมายจับคดีแจ้งความเท็จกล่าวหาภรรยารองฯโจ๊ก และ พล.ต.ต.เอกภพที่ต้องหาคดีฟอกเงินเว็บพนัน ที่ศาลออกหมายจับและส่งฟ้องต่อศาล ก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการใดใดตามอำนาจหน้าที่

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงมาแจ้งความร้องทุกข์และกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสน.ปทุมวัน เพื่อให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องการกับ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.และส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

ขณะเดียวกันแหล่งข่าวระดับสูง ใน ป.ป.ช.เปิดเผยว่า วันนี้ช่วงบ่ายนายวิทยา อาคมพิทักษ์ รรท.ปธ.ปปช. พยายามนำเรื่องของรองฯโจ๊กเข้าประชุม ปรากฏว่า ที่ประชุม ป.ป.ช. มีคณะกรรมการ 2 ท่าน ไม่เข้าประชุม ถือว่าองค์ประชุมไม่ครบ จึงเลื่อนเป็นรอบที่ 3 ไปเป็นวันจันทร์ 24 ก.พ.ที่จะถึง

ยังมีรายงานอีกว่าขณะนี้นี้ทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจคณะพนักงานสืบสวนฯ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)ที่มี พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานกำลังเร่งรัดให้พิจารณาวินัยร้ายแรงของ รองฯโจ๊ก ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วภายในวันที่ 20 ก.พ.นี้