ที่ สน.ปทุมวัน เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 11 กพ 68 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร.เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.อาคม ชุมพรัตน์ ผกก.สน.ปทุมวันและพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.ฐานไม่ทำตามอำนาจหน้าที่ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ราชการ อันอาจถือได้ว่าเป็นการกระทำความผิดทางอาญา ตามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561
ในคำร้องทุกข์กล่าวโทษบางส่วน ได้ยกกรณีเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 67 ถึงปัจจุบัน พบว่ามีข้าราชการตำรวจหลายรายถูกต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงถูกตั้งกรรมการสอบสวน ทั้งที่เป็นข่าวทางสื่อสังคมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง แต่พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ในฐานะผู้นำองค์กรและเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการตำรวจ ทราบเป็นอย่างดี ตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กลับละเลยหรือเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ ที่จะสั่งการให้ข้าราชการตำรวจที่มีการถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง และบางรายมีการถูกดำเนินคดีอาญาต่อศาลแล้ว ให้มีคำสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 131
โดยเฉพาะในคดี 140 ล้าน หรือ “เป้รักผู้การฯ” ประชาชนให้ความสนใจและมีการนำเสนอข่าวต่อประชาชนถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง พบว่า พล.ต.ต. กัมพล ลีลาประภาภรณ์ เป็นผู้ต้องหาคดีอาญาในคดีนี้ และพนักงานสอบสวน ได้มีความเห็นสั่งฟ้อง ส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการพิจารณาตามกฎหมาย และล่าสุดพนักงานอัยการ ก็มีความเห็นสั่งฟ้องแล้ว
แต่ในคดีนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กับพวก กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 131 ที่จะมีคำสั่งให้ พล.ต.ต กัมพล ลีลาประภาภรณ์ และข้าราชการตำรวจรายอื่นออกจากราชการไว้ก่อน ให้เหมือนกับที่ได้มีการสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กับพวก ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เป็นการส่อเจตนาที่จะประพฤติปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้เชื่อว่ามีเจตนาที่จะใช้อำนาจตำแหน่งในหน้าที่ช่วยเหลือ พล.ต.ต.กัมพล และข้าราชการตำรวจรายอื่นที่ถูกต้องหาคดีอาญาหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะข้าราชตำรวจหลายรายถึงขั้นมีการถูกพนักงานอัยการสั่งฟ้องดำเนินคดีต่อศาลแล้ว
ในขณะที่คดีของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล กับพวก ยังไม่ได้มีการถูกพนักงานอัยการสั่งฟ้อง แต่กลับถูกคำสั่งให้พักราชการหรือออกจาราชการไว้ก่อน
การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และระบบราชการอาจถือว่าร้ายแรง อันอาจเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 “เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต”
นอกจากนี้ยังมีคดีที่ พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ กัญจน์ชัยกิจ รอง ผบก. กองร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นรองฯโจ๊ก ที่อัยการสั่งฟ้องและศาลออกหมายจับ รวมทั้งกรณี พ.ต.อ.ภีมพจน์ น้อมชอบพิทักษ์ อดีตอาจารย์ (สบ4) กลุ่มงานคณาจารย์ คณะตำรวจศาสตร์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ปฏิบัติราชการที่ ศปก. บช.รร.นรต. ศาลออกหมายจับคดีแจ้งความเท็จกล่าวหาภรรยารองฯโจ๊ก และ พล.ต.ต.เอกภพที่ต้องหาคดีฟอกเงินเว็บพนัน ที่ศาลออกหมายจับและส่งฟ้องต่อศาล ก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการใดใดตามอำนาจหน้าที่
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงมาแจ้งความร้องทุกข์และกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสน.ปทุมวัน เพื่อให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องการกับ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.และส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ขณะเดียวกันแหล่งข่าวระดับสูง ใน ป.ป.ช.เปิดเผยว่า วันนี้ช่วงบ่ายนายวิทยา อาคมพิทักษ์ รรท.ปธ.ปปช. พยายามนำเรื่องของรองฯโจ๊กเข้าประชุม ปรากฏว่า ที่ประชุม ป.ป.ช. มีคณะกรรมการ 2 ท่าน ไม่เข้าประชุม ถือว่าองค์ประชุมไม่ครบ จึงเลื่อนเป็นรอบที่ 3 ไปเป็นวันจันทร์ 24 ก.พ.ที่จะถึง
ยังมีรายงานอีกว่าขณะนี้นี้ทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจคณะพนักงานสืบสวนฯ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)ที่มี พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานกำลังเร่งรัดให้พิจารณาวินัยร้ายแรงของ รองฯโจ๊ก ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วภายในวันที่ 20 ก.พ.นี้