ตำรวจไซเบอร์ติดตามจับกุมตัวลูกสาวอดีตรองนายกเทศมนตรีจังหวัดนครศรีธรรมราชร่วมขบวนการคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนรายใหญ่หลังหลบหนีมากบดานในจังหวัดสมุทรสาคร เร่งติดตามหาผู้ร่วมขบวนการคนอื่น
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แถลงจับกุม น.ส.อาทิตยาฯ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลด้านการเงิน และเป็นบุตรสาวของ น.ส.เรวดี หรือ จเจ๊เล็ก อดีตรองนายกเทศมนตรีจันดี จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่ที่ขบวนการคอลเซนเตอร์ มาใช้เปิดฐานปฏิบัติการและรอรับผลประโยชน์จากการให้เช่าอาคารสถานที่ โดยจับกุมได้ที่หน้าบ้านพักแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร ก่อนควบคุมตัวมาดำเนินคดี หลังเจ้าตัวหลบหนีมาพร้อมกับสามีชาวจีนเพื่อขายสินค้าออนไลน์นำเข้าจากประเทศจีน
สำหรับกรณีนี้ เป็นการขยายผลต่อเนื่องหลังตำรวจไซเบอร์ ได้ร่วมกับ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าปูพรม ตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 4 จุด ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อช่วงกลางปี 2566 เพื่อทลายเครือข่ายคอลเซนเตอร์ชาวจีนรายใหญ่ที่ลักลอบตั้งฐานในพื้นที่หลอกชาวจีน ญี่ปุ่น และไทย โดยครั้งนั้นสามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการชาวจีนได้ 51 คนชาวไทย 12 คน พร้อมยึดของกลาง เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และบัญชีธนาคารหลายรายการ เบื้องต้น ตำรวจสืบสวนทราบว่า นางสาวเรวดีเป็นเจ้าของสถานที่ทั้ง 4 จุด ซึ่งกลุ่มขบวนการคอลเซนเตอร์ใช้สถานที่เป็นฐานปฏิบัติการ ตำรวจจึงขออำนาจศาลอาญารัชดาออกหมายจับเจ้าตัวและผู้ร่วมขบวนการที่เกี่ยวข้อง ในข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ , ฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกง ,ความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ และ ร่วมกันเป็นอั้งยี่ซ่องโจร
พล.ต.ท.ไตรรงค์ฯ เปิดเผยว่า คดีนี้ตำรวจต้องขอศาลในพื้นที่กรุงเทพมหานครออกหมายจับและหมายค้นกลุ่มผู้ต้องหา เพราะกังวลว่าหากมีการขอศาลท้องที่ อาจจะทำให้กลุ่มผู้ต้องหาไหวตัวทันเนื่องจาก กลุ่มผู้ต้องหามีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในพื้นที่ ซึ่งนอกจากความเชื่อมโยงเรื่องการให้เช่าสถานที่แล้ว จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของอดีตรองนายกเทศมนตรีจันดี และลูกสาวพบว่ามีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับขบวนการคอลเซนเตอร์ โดยพบว่าสามีของนางสาวเรวดีเป็นหัวหน้าขบวนการคอลเซนเตอร์ดังกล่าว
สำหรับคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักรจึงต้องมีการเชิญอัยการเข้ามาร่วมดำเนินการสอบปากคำ ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้มีการส่งตัวผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการสอบปากคำร่วมกับพนักงานสอบสวนแล้ว การตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาพบว่าได้มีการพูดคุยกับนางเรวดีผ่านทางแอพพลิเคชัน LINE แต่กลับไม่มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อเบื้องต้นเจ้าหน้าที่จึงเชื่อว่านางเรวดี ยังคงหลบหนีอยู่ในประเทศไทยซึ่งขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างสืบสวนติดตามจับกุม ตัวของนางเรวดีและผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆที่ยังหลบหนีมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

